Technicalbiomed
Anti Aging Beautifully
อบรมฟรี! หลักสูตร Anti Aging Beautifully
สำนักวิชาเวชศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพร่วมกับ โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง กรุงเทพฯ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จัดอบรมออนไลน์หลักสูตร Anti Aging Beautifully ให้กับแพทย์และผู้สนใจทั่วไปฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย!
พบกับวิทยากรต่าง ๆ ที่ล้วนมากความสามารถและกรุณาเสียสละเวลามาร่วมบรรยายในครั้งนี้
• จัดอบรมในวันเสาร์ที่ 12 กันยายน 2563
• เริ่มลงทะเบียนตั้งแต่เวลา 09.30 น
• ณ อาคารพีเอส ทาวเวอร์ ชั้น 25
ทั้งนี้ท่านสามารถลงทะเบียนเรียนฟรี! ได้โดยการสแกนคิวอาร์โค้ด หรือคลิกที่ลิงค์นี้ได้เลยค่ะ https://form.jotform.com/202301653048041
และสามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่ สุวรรณี 0939069384 หรือ โทร 02 6644360 ต่อ 1015
*** ทางมหาวิทยาลัยขอสงวนสิทธิ์การเข้าฟังบรรยาย กรณีที่เต็มค่ะ
Share this post
ประเภทของสิว
ประเภทของสิว
เรื่องของ “สิว” เป็นอีกหนึ่งปัญหาผิวที่ค่อนข้างมีผลกระทบในวงกว้าง พบเจอได้ทั้งหญิงและชาย โดยเฉพาะในช่วงวัยรุ่น โดยจากสถิติของสถาบันโรคผิวหนังในประเทศไทยช่วงหลายปีที่ผ่านมานั้น ปัญหาสิวติด 1 ใน 5 อันดับแรก ของผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาเสมอๆ
ด้วยเหตุที่ “สิว” มีความรุนแรงและมีผลกระทบที่แตกต่างกันในแต่ละบุคคล การได้รู้จักและเข้าใจ “ประเภทของสิว” จะทำให้เราสามารถดูแลและจัดการกับปัญหาสิวที่กวนใจผิวเราได้ดีขึ้น เพื่อผิวพรรณที่สวยงามของเรา ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจกันก่อนนะคะว่า “สิวเกิดจากสาเหตุอะไรได้บ้าง”
สิวเกิดจากอะไร?
เจ้าสิว เม็ดจิ๋วๆ ที่ขึ้นตามใบหน้าและบางบริเวณของร่างกายเรานั้น เกิดจากการที่น้ำมัน (Sebum) สิ่งสกปรก เซลล์ผิวที่ตายแล้ว รวมทั้งแบคทีเรีย เกิดการสะสมและอุดตันในรูขุมขน จนเกิดเป็นจุดเล็กๆ นูนขึ้นมาเหนือผิวหนัง อาจเกิดการอักเสบ บวมแดง หรือเกิดเป็นหนอง เล็กน้อยจนถึงขนาดใหญ่ที่อาจสร้างความเจ็บปวดหรือทิ้งแผลเป็นไว้หลังจากอาการทุเลาลงไปแล้วได้
สำหรับปัจจัยที่ก่อให้เกิดสิวนั้น อาจเกิดได้จากทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอก เช่น การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย ซึ่งสาเหตุนี้เห็นได้ชัดในกลุ่มวัยรุ่นเป็นส่วนใหญ่ และพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง หรือคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์อยู่ ก็อาจมีสิวขึ้นได้มากกว่าช่วงปกติ ผลของความเครียดก็เช่นเดียวกัน เมื่อเราเครียดร่างกายจะมีการหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอลเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นต้นเหตุของการเกิดสิวและอาจทำให้การอักเสบเพิ่มขึ้นอีกด้วย
ส่วนปัจจัยภายนอกที่เป็นตัวการก่อสิว เช่น การรับประทานอาหารมัน หรือของทอดมากเกินไป การล้างหน้าไม่สะอาด หรือการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ไม่เข้ากับสภาพผิว ก็อาจทำให้เกิดปัญหาสิวตามมาได้
สิวแบ่งเป็น 2 ประเภทหลักๆ
ได้แก่ สิวไม่อักเสบหรือสิวอุดตัน (Comedone) และสิวอักเสบ (Inflammatory acne)
1.สิวไม่อักเสบ (Comedone) เป็นสิวขนาดเล็กที่เกิดจากการอุดตันของคอมีโดน (Comedones) ในรูขุมขน โดย คอมีโดน (Comedones) เป็นการรวมกันของซีบัมที่หลั่งออกมามากเกินไป ร่วมกับเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ขนอ่อนที่ไม่สามารถงอกผ่านรูขุมขนออกมาได้ และ P.Acne ซึ่งเป็นแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่เจริญเติบโตได้ดีในที่ๆ ไม่มีอากาศ และชอบอาหารประเภทไขมัน ซึ่งเป็นต้นตอที่ก่อให้เกิดเป็นสิวนั่นเอง สำหรับสิวไม่อักเสบนั้น เราแบ่งออกเป็นประเภทย่อยๆ ได้เป็น 2 ประเภท คือ
- Whiteheads : สิวหัวขาว หรือ Close comedones เกิดจากการรวมกันของซีบัมและเซลล์ผิวที่ตายแล้วที่สะสมอยู่ในรูขุมขน ปรากฏเป็นตุ่มหรือจุดสีขาว บนผิวบริเวณนั้นๆ
- Blackheads : สิวหัวดำ หรือ Open comedone โดยสีดำที่หัวสิวนั้นไม่ได้เกิดจากสิ่งสกปรกหรือการติดเชื้อต่างๆ แต่เกิดจากสิวหัวขาวที่รูขุมขนบริเวณนั้นเปิดออก และสัมผัสกับอากาศจนเกิดการออกซิไดซ์ ทำให้สิวหัวขาวกลายเป็นสีดำนั่นเอง โดยทั่วไปมักพบบริเวณใบหน้า ลำคอ หน้าอกและหลัง
2. สิวอักเสบ (Inflammatory acne) เกิดจากการอุดตันของรูขุมขนและต่อมไขมันใต้ผิวหนังที่มีสิวอุดตันก่อตัวอยู่ หรือเกิดกระบวนการอักเสบขึ้นเอง สิวอักเสบแม้จะเป็นเพียงจุดเล็กๆ บนใบหน้า แต่กลับสร้างปัญหาในเรื่องของความมั่นใจ ก่อให้เกิดความเจ็บปวด และปัญหารอยสิวต่างๆ ตามมาได้ โดยสิวอักเสบมีด้วยกันหลายระดับ ดังนี้
- Papules : สิวตุ่มนูน (แพพิว) มีลักษณะเป็นตุ่มสีแดงขนาดเล็กกว่า 0.5 เซนติเมตร เป็นสิวอักเสบระยะแรกที่พัฒนามาจากสิวอุดตัน สร้างความเจ็บปวดได้เล็กน้อย
- Pustules : สิวตุ่มหนอง มีลักษณะเป็นตุ่มสีแดงที่มีหนองสีขาวอยู่บริเวณด้านบนหัวสิว อาจเกิดจากสิวบริเวณนั้นเกิดการติดเชื้อแบคทีเรียชนิดอื่นๆ แทรกซ้อนเข้ามา โดยมีการอักเสบและสร้างความเจ็บปวดมากกว่าสิวชนิด Papules
- Nodules : สิวอักเสบก้อนลึก เป็นตุ่มแดง ขนาดใหญ่กว่า 0.5 เซนติเมตร มีการอักเสบใต้ผิวหนัง เมื่อสัมผัสจะค่อนข้างเจ็บปวด มีสาเหตุเกิดจากการเป็นสิวชนิด Papules แล้วเกิดการบีบสิว จนทำให้แบคทีเรียและน้ำมันในตุ่มสิวแตกกระจายอยู่ใต้ผิวหนังทำให้เกิดการอักเสบมากยิ่งขึ้น
- Cyst : สิวเป็นถุงขนาดใหญ่ใต้ผิวหนัง เป็นสิวอักเสบที่รุนแรงที่สุด มีขนาดใหญ่ ลักษณะเป็นถุงใต้ผิวหนัง ภายในมีหนองอักเสบ โดยทั่วไปมักเจ็บปวดและอาจต้องได้รับการรักษาจากแพทย์ หลังจากสิวหายดีแล้วมักทิ้งเป็นรอยแผลจากสิวไว้ด้วย
นอกจากสิวทั้ง 2 ประเภทนี้แล้ว ยังมีสิวประเภทอื่นๆ ที่เราอาจพบได้อีกเช่นกัน อย่างสิวจากการติดสารสเตียรอยด์, สิวข้าวสาร ซึ่งเป็นสิวที่ยากต่อการรักษาและยังไม่พบสาเหตุในการเกิดที่แน่ชัด สำหรับบทความต่อไปเรามาทำความรู้จักกับรอยแผลเป็นจากสิวประเภทต่างๆ กันบ้างนะคะ เริ่มกันที่บทความ “หลุมสิว รอยแผลเป็นจากสิว”
Share this post
หลุมสิว รอยแผลเป็นจากสิว
หลุมสิว รอยแผลเป็นจากสิว
เมื่อพูดถึง รอยแผลเป็นจากสิว (Acne Scar) หลายๆ คนอาจนึกถึงรอยดำ รอยแดง หลุมสิว และผิวที่ขรุขระไม่เรียบเนียน แต่จริงๆ แล้ว “รอยแผลเป็นจากสิว” มักไม่ใช้เรียก “รอยแดงและรอยดำที่เกิดขึ้นหลังจากเกิดสิว” เนื่องจากรอยเหล่านี้มักจะจางหายไปเองแม้ไม่ได้รับการรักษา แต่เราสามารถใช้เรียก “หลุมสิว” และ “คีลอยด์” ได้ เพราะมีความรุนแรงมากกว่า รักษายากกว่า และอาจกลายเป็น “แผลเป็นถาวร” และในบทความนี้เราอยากให้ทุกคนรู้จักกับรอยแผลเป็นจากสิวในกลุ่มของ “หลุมสิว” มากยิ่งขึ้น เพื่อนำไปสู่การหาทางรักษาหลุมสิวได้อย่างเหมาะสม และตรงจุดที่สุดค่ะ
หลุมสิวคืออะไร?
หลุมสิว เป็นหนึ่งในประเภทของแผลเป็นจากสิว (Acne Scar) ซึ่งมีความร้ายแรงและรักษาได้ยากกว่ารอยดำมาก ยิ่งสิวมีการอักเสบรุนแรงมาก แผลเป็นหรือหลุมสิวที่เกิดขึ้นก็จะยิ่งมีขนาดและความลึกที่มากตามความรุนแรงของสิวเหล่านั้น เนื่องจากสิวที่มีระดับความรุนแรงปานกลางถึงรุนแรงมากสามารถทำลายไปถึงโครงสร้างของผิวชั้นลึก จึงเกิดแผลเป็นลักษณะหลุมซึ่งต้องใช้การรักษาพิเศษจากแพทย์ผิวหนัง
ประเภทของหลุมสิว แบ่งย่อยได้ 3 ประเภท
Icepick
เป็นหลุมสิวขนาดเล็ก ความกว้างน้อยกว่า 2 มิลลิเมตร ขอบเขตที่ชัดเจน มีปลายแหลมที่ยื่นลึกไปถึงชั้นหนังแท้หรือชั้นไขมันใต้ผิวหนัง
Rolling
เป็นหลุมสิวที่มีลักษณะเป็นแอ่งเว้าคล้ายก้นกะทะลึกลงไปถึงผิวชั้นหนังแท้ระดับตื้นๆ ด้านบนพื้นผิวมีขนาดกว้างประมาณ 4-5 มิลลิเมตร เป็นหลุมสิวที่รักษาได้ง่ายที่สุด
Box scar
เป็นหลุมสิวที่มีลักษณะคล้ายกล่อง มีขอบเขตที่ชัดเจน ขนาดประมาณ 3-4 มิลลิเมตร เกิดจากสิวอักเสบที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่ เป็นหลุมสิวระดับปานกลาง ตื่นกว่าหลุมสิวแบบ Icepick
วิธีรักษาหลุมสิว ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่
สำหรับในปัจจุบัน วงการแพทย์ด้านความงามได้มีนวัตกรรมและเทคโนโลยีมากมายที่ช่วยฟื้นฟูผิวได้ถึงผิวชั้นลึก สามารถรักษาหลุมสิวทุกประเภท อย่างเช่น เทคโนโลยีคลื่นวิทยุรักษาหลุมสิว หรือ ที่ศัพท์ทางการแพทย์เรียกว่า “การทำ Fractional RF” ซึ่งเหมาะกับผู้ที่ไม่สามารถหยุดงานเพื่อพักผิวหน้าได้ เพราะการทำ Fractional RF เพื่อรักษาหลุมสิวจะมีแผลสะเก็ดที่ผิวหน้าขนาดเล็กมากๆ ทำให้ระยะการพักฟื้นสั้น อีกทั้งยังช่วยแก้ปัญหาริ้วรอยได้อีกด้วย โดยรวมช่วยให้ผิวเนียนและกระชับขึ้น อ่านบทความที่น่าสนใจเกี่ยวกับ “Venus Viva NanoFractional RF นวัตกรรมเพื่อการฟื้นฟูหลุมสิว” ได้ที่นี่
นอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่น่าสนใจ สามารถช่วยฟื้นฟูผิวและรักษาหลุมสิวได้ดีมากๆ คือ การใช้เลเซอร์รักษาหลุมสิว วิธีนี้อาจเกิดแผลสะเก็ดบนใบหน้าบ้างเล็กน้อย และหายไปใน 5-7 วัน จุดเด่นของเลเซอร์คือ ให้ผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดเจน เหมาะกับผู้ที่มีหลุมสิวลึกมากๆ ผิวแลดูตื้นขึ้นได้ รูขุมขนเล็กลง โดยรวมแล้วผิวจะเนียนกระชับขึ้นกว่าเดิมมากอย่างเห็นได้ชัดค่ะ
สุดท้ายนี้หากการเกิดสิวเป็นสิ่งที่เราไม่อาจหลีกเลี่ยง แนวทางลดการเกิดปัญหาหลุมสิวที่จะตามมาคือ การป้องกันการอักเสบของสิวไม่ให้รุกลามรุนแรง และควรหลีกเลี่ยงการบีบหรือแกะสิว เนื่องจากพฤติกรรมเหล่านั้นอาจส่งผลเสียที่รุนแรงตามมาค่ะ
Reference
- Acne Scars: Pathogenesis, Classification and Treatment. Gabriella Fabbrocini,* M. C. Annunziata,. 2010.
- A Comprehensive Review of Acne Vulgaris. AK Mohiuddin1* Department of Pharmacy, World University of Bangladesh
- Easy as PIE (Postinflammatory Erythema). Yoon-Soo, Cindy Bae-harboe, MD; Emmy M. Graber, MD ,Boston University, Department of Dermatology, Boston, Massachusetts
Share this post
ช่องคลอดแห้ง ปัญหาใหญ่ที่ไม่ควรมองข้าม
ช่องคลอดแห้ง ปัญหาใหญ่ที่ไม่ควรมองข้าม
ช่องคลอดแห้ง (Vaginal Dryness) เป็นอีกหนึ่งปัญหาที่สร้างความกังวลใจให้กับสาวๆ ได้ไม่น้อย โดยเฉพาะสาวรุ่นใหญ่ วัย 40+ ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกไม่สบายทางกาย ไปจนถึงการได้รับผลกระทบด้านลบต่อชีวิตคู่ (Sexual Health) ซึ่งที่ผ่านมาปัญหาเหล่านี้เป็นเรื่องที่ค่อนข้าง Sensitive และไม่ค่อยมีใครกล้าพูดถึงหรือกล้าเปิดเผยมากนัก แต่ในปัจจุบันนี้โลกและสังคมของเราได้มีความเปิดกว้างมากขึ้นในทุก ๆ ด้าน ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดีที่ผู้หญิงอย่างเราจะได้เปลี่ยนมุมมองใหม่ว่า “เรื่องจุดซ่อนเร้น ไม่ใช่เรื่องที่น่าอาย” แต่ควรศึกษาทำความเข้าใจเพื่อให้รู้ถึงการเปลี่ยนแปลงและวิธีการรับมือเมื่อเกิดปัญหาได้ทันท่วงที เพื่อสุขภาพอนามัยที่ดีของจุดซ่อนเร้นของเรา
ปัญหาช่องคลอดแห้งเกิดจากอะไร?
โดยปกติแล้ว ภายในช่องคลอดจะมีสารหล่อลื่น ที่มีลักษณะเป็นเมือกใส เหนียวหนืด มีหน้าที่หลักในการช่วยลดการเสียดสี และเพื่อช่วยให้เซลล์อสุจิสามารถผสมกับเซลล์ไข่ได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งสารหล่อลื่นตามธรรมชาตินั้น ถูกผลิตขึ้นโดยต่อมผลิตสารคัดหลั่งที่อยู่ในชั้น Mucosa ที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจนเป็นตัวควบคุม แต่เมื่ออายุมากขึ้นหรือมีสิ่งเร้าภายนอกมารบกวน เช่น การทานยาบางชนิด การป่วยเป็นโรคบางประเภท (Sjogren’s Syndrome) ทำให้ร่างกายมีการผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลงหรือขาดไป ทำให้ร่างกายไม่สามารถผลิตสารคัดหลั่งเพื่อการหล่อลื่นได้อย่างเพียงพอ ส่งผลให้เยื่อบุช่องคลอดขาดความชุ่มชื้น จนเกิดเป็นภาวะช่องคลอดแห้ง (Vaginal Dryness) ขึ้น รวมทั้งการสวนล้างช่องคลอดบ่อยเกินไป ก็ส่งผลให้เกิดภาวะช่องคลอดแห้งได้เช่นกัน ผลที่ตามมาอาจทำให้เกิดอาการผิดปกติ ดังเช่น
- มีอาการระคายเคือง แสบร้อน ภายในช่องคลอด
- เจ็บระหว่างมีเพศสัมพันธ์ ส่งผลให้ความต้องการทางเพศลดลง
- ปัสสาวะบ่อย แสบขัด หรือมีอาการปัสสาวะเล็ดร่วมด้วย
- เมื่อตรวจภายในมักพบว่าช่องคลอดมีลักษณะแห้งและซีด รวมถึงปากมดลูกอาจแบนไปกับช่องคลอด
- อาจก่อให้เกิดการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะได้
ช่องคลอดแห้ง รักษาได้ไหม?
ระดับความรุนแรงของอาการช่องคลอดแห้งจะแตกต่างกันออกไปในแต่ละบุคคล ในหญิงบางคนอาการอาจดีขึ้นได้เอง บางคนมีอาการน้อย แต่ในบางคนก็มีอาการมากจนกระทบต่อชีวิตประจำวันรวมทั้งปัญหาด้านชีวิตคู่ได้ ซึ่งแนวทางการรักษาปัญหาช่องคลอดแห้งนี้ มีหลากหลายวิธีแตกต่างกันออกไป
- การใช้ Hormone ทดแทน (Hormone Replacement Therapy: HRT) มักเป็นสารออกฤทธิ์ในการเริ่มระดับเอสโตรเจนให้ร่างกาย นอกจากรักษาอาการช่องคลอดแห้ง ยังช่วยรักษาอาการต่างๆที่เกิดขึ้นในช่วยวัยหมดประจำเดือนได้ เช่น อารมณ์หงุดหงิด ร้อนวูบวาบ ต่างๆ และในการรักษาวิธีนี้ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด
- รักษาสุขอนามัยของจุดซ่อนเร้น หลีกเลี่ยงการสวนล้างช่องคลอดหรือใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำหอมหรือสารเคมีต่างๆ ซึ่งเป็นการทำลายสภาวะความสมดุลของช่องคลอดให้เสียไป
- ใช้สารเพิ่มความชุ่มชื้นเฉพาะจุด อาจมาในรูปแบบของยาทาหรือยาเม็ดสอดในช่องคลอด ออกฤทธิ์โดยอาศัยการปล่อยเอสโตรเจนออกมา เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่บริเวณช่องคลอด
- ทานอาหารที่มีประโยชน์และดื่มน้ำอย่างเพียงพอ เช่น เลือกทาน “โยเกิร์ต” บ้าง เพื่อช่วยเพิ่มแบคทีเรียที่จำเป็นซึ่งป้องกันการติดเชื้อราหรือแบคทีเรียต่างๆ ภายในช่องคลอด หรือผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ที่มีสารฟลาโวนอยด์ซึ่งมีส่วนประกอบของฮอร์โมนเอสโตรเจน เพื่อเพิ่มสารหล่อลื่นตามธรรมชาติได้
สุดท้ายนี้ ปัญหาต่าง ๆ ของจุดซ่อนเร้น ไม่ใช่เรื่องที่น่าอาย แต่เป็นเรื่องที่เราควรทำความเข้าใจและกล้าเปิดใจยอมรับมากขึ้น เพื่อแก้ไขปัญหาและป้องกันการเกิดปัญหาต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับเราหรือคนสำคัญของเรา เช่น คุณแม่ หรือ คนรู้จักที่อยู่ในช่วงวัยหมดประจำเดือน ซึ่งปัจจุบันด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและการแพทย์สมัยใหม่ ที่ช่วยเพิ่มทางลัดในการฟื้นฟูจุดซ่อนเร้น ซึ่งมีเทคโนโลยีต่าง ๆ ให้เลือกหลากหลาย เช่น การใช้คลื่นความถี่วิทยุ การใช้แสงเลเซอร์ ซึ่งทั้งสองเทคโนโลยีนี้ไม่เพียงแต่แก้ปัญหาช่องคลอดแห้งเท่านั้น แต่ยังสามารถช่วยปรับสภาพผิว กระชับทั้งภายในและภายนอก รวมทั้งยังแก้ปัญหาปัสสาวะเล็ดได้อีกด้วย
Reference
- https://www.pobpad.com/ช่องคลอดแห้ง
- https://www.samitivejhospitals.com/th/ช่องคลอดแห้ง/
Share this post
รับมือภาวะปัสสาวะเล็ดอย่างไร? ในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน
รับมือภาวะปัสสาวะเล็ดอย่างไร? ในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน
ปัญหาอันดับต้นๆ ของผู้หญิงวัยหลังหมดประจำเดือน นอกจากการแปรปรวนของภาวะทางอารมณ์เเล้ว ยังมีอีก 1 ปัญหาที่สร้างความกังวลอย่างมาก นั่นคือ ภาวะปัสสาวะเล็ด Stress urinary incontinence (SUI) ซึ่งเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและสภาวะจิตใจ โดยผู้หญิงอย่างเรามักเลือกที่จะเก็บปัญหาเหล่านี้ไว้ บางคนอายจนถึงหลีกเลี่ยงกิจกรรมทางสังคม ไม่ยอมออกนอกบ้าน และไม่กล้าขอคำปรึกษาหรือเข้าพบกับเเพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อป้องกันหรือทำการรักษาปัญหาเหล่านี้ จนก่อให้เกิดอาการลุกลามยากเกินรักษาให้หายได้
จากผลสำรวจของ บริษัท ยูนิ.ชาร์ม (ประเทศไทย) ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์สำหรับผู้หญิง พบว่า กว่า 60% ของผู้หญิงเริ่มมีอาการปัสสาวะเล็ดครั้งแรกในช่วงอายุ 30-40 ปี และมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นแปรผันตรงกับอายุ นอกจากนี้ปัญหาปัสสาวะเล็ดนั้นสามารถพบได้ในผู้หญิงกว่า 25% จากทั่วโลก พบในต่างประเทศ 6% และไทยประเทศไทยสูงถึง 20% ซึ่งเป็นปัญหาที่พบได้ทุกช่วงอายุ แต่พบมากในผู้หญิงหลังจากเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน
หญิงไทยส่วนใหญ่ มักรู้สึกเขินอายต่อปัญหาที่เกี่ยวกับจุดซ่อนเร้น ซึ่งผลการสำรวจได้มีการกล่าวเพิ่มเติมว่า เมื่อพบปัญหาปัสสาวะเล็ดผู้หญิงไทยกว่า 62.2% เลือกแก้ปัญหาดังกล่าวโดยการใช้แผ่นอนามัยสำหรับรองรับปัสสาวะ, 22.3% เลือกใช้สินค้าที่ออกแบบมาสำหรับผู้มีปัญหาปัสสาวะเล็ด และมีเพียง 4.7% เท่านั้นที่หาวิธีการรักษาอย่างตรงจุด
ปัญหาปัสสาวะเล็ด โดยมากเกิดจากกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานมีความหย่อนตัวลง หรือหูรูดท่อปัสสาวะหดรัดตัวได้ไม่ดี ทำให้มีอาการกลั้นปัสสาวะได้ไม่ดีในขณะที่ความดันในช่องท้องสูงมากขึ้น เช่น ขณะไอ หรือ จาม ซึ่งเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นอายุที่เพิ่มมากขึ้น ภาวะโรคต่างๆ ภาวะขาดฮอร์โมนเพศ การผ่าตัดที่อาจส่งผลกระทบ การใช้ยาบางชนิด รวมทั้งการคลอดบุตรด้วยวิธีธรรมชาติ
สำหรับการรักษาภาวะปัสสาวะเล็ดตามวิธีดั้งเดิมมีหลากหลายวิธี เช่น การใส่อุปกรณ์ช่วยพยุงในช่องคลอด (Vaginal Pessary), การฝึกขมิบกล้ามเนื้อกระดูกเชิงกราน (Kegel Exercise), ไปจนถึงการผ่าตัด ซึ่งต้องอาศัยระยะเวลาพักฟื้น หรือใช้เวลารักษาที่ยาวนาน ซึ่งเหมาะกับการรักษาภาวะปัสสาวะเล็ดในระยะที่เริ่มยากต่อการรักษา
เเต่ปัจจุบันมีการใช้เทคโนโลยีแสงเลเซอร์ เพื่อการรักษาปัญหาปัสสาวะเล็ดในระยะเริ่มต้น เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจลุกลามได้ ดั่งนวัตกรรม Juliet – the feminine laser treatment ด้วยเทคโนโลยี Erbium:YAG laser Class 4 จากประเทศเยอรมนี ซึ่งเป็นเลเซอร์ที่จำเพาะเจาะจงต่อการดูดซับน้ำที่เนื้อเยื่อ ซึ่งให้ผลในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน เพื่อคืนความยืดหยุ่นและเพิ่มความชุ่มชื้น ช่วยให้เยื่อบุผิวช่องคลอดมีความหนา และนุ่มมากยิ่งขึ้น รวมทั้งยังสามารถปรับสภาพผิวบริเวณภายนอกช่องคลอด และเพิ่มความกระชับได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ลดอาการปัสสาวะเล็ด
- เพิ่มความกระชับ
- ลดปัญหาช่องคลอดแห้งระคายเคือง
- คืนความชุ่มชื่นให้ช่องคลอด
- ช่วยฟื้นฟูทั้งภายในช่องคลอดและผิวภายนอก
Juliet เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ตอบโจทย์ในการแก้ปัญหาที่สร้างความกังวลใจของคุณผู้หญิงได้หลังทำการรักษาเพียงครั้งเดียว ใช้เวลารักษาสั้นเพียง 30 นาที อีกทั้งตัวแอปพลิเคเตอร์ Steri Spot เป็นแบบ Single-use เพื่อป้องกันการติดเชื้อจากการใช้ซ้ำ ทำให้มั่นใจได้ถึงความสะอาดและปลอดภัย ซึ่งผ่านการรักษาในหญิงสาวทั่วโลกมาเเล้วกว่า 5 ล้านคน ให้ผลการรักษาที่ยาวนาน ทั้งได้รับมาตรฐานความปลอดภัยจาก THAI & USFDA
Reference
- https://th.lifree.com/th/nyoumore/experience/data.html
Share this post
เลเซอร์ นวัตกรรมแห่งแสงที่เหนือกาลเวลา
เลเซอร์ นวัตกรรมแห่งแสงที่เหนือกาลเวลา
“เลเซอร์” เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความล้ำสมัยของเทคโนโลยี ซึ่งอยู่รอบตัวเราในทุกๆ ภาคส่วน ไม่ว่าจะด้านการแพทย์ การศึกษา ผนวกรวมไปถึงด้านความบันเทิงซึ่งแฝงอยู่ในรูปแบบหนังสือนวนิยายและภาพยนต์ Action Si-Fi ซึ่งคำว่า “เลเซอร์” (LASER) ย่อมาจาก Light Amplification by Stimulated Emission of Radiation โดยอาศัยหลักการกระตุ้นอิเล็กตรอนให้เกิดการแผ่รังสี (Stimulated Emission) จนเกิดการขยายสัญญาณของแสงซ้ำไปมา (Light Amplification) กระทั่งเกิดเป็นลำแสงเลเซอร์ที่มีคุณสมบัติเฉพาะตัวที่เรียกว่า “โคฮีเร้นท์” (Coherent) คือ เป็นแสงสีเดียวมีความยาวคลื่นค่าเดียว มีเฟสเดียว มีความเข้มสูง และมีทิศทางที่แน่นอน
เลเซอร์ มีความพิเศษมากกว่าที่เราคาดคิด โดยมีต้นแบบมาจากทฤษฎีที่ค้นพบโดยนักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่อย่าง อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ และผ่านการศึกษาพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยผู้คิดค้นเลเซอร์ได้คนแรกเป็นนักฟิสิกส์ชาวอเมริกันชื่อ ซี. เอช.ทาวน์ส (Charles Hard Townes) ซึ่งการคิดค้นนี้ทำให้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ในปี ค.ศ. 1964 ต่อมาในปี ค.ศ.1960 Theodore H. Maiman ได้พิสูจน์ทฤษฎีของ C.H. Townes และประดิษฐ์อุปกรณ์ Laser เครื่องแรกของโลกขึ้น โดยทำจาก Ruby ซึ่งถือเป็นการเปิดโลกแห่งวงการเลเซอร์ จากนั้นได้มีการพัฒนาต่อเนื่องจนเกิดเป็นนวัตกรรมแห่งแสงที่มีประโยชน์อย่างกว้างขวางในปัจจุบัน
Cr. Picture: https://entokey.com/retinal-laser-therapy-biophysical-basis-and-applications-2/
“ต้องมีคุณสมบัติประกอบกัน 4 ชนิด จึงจะสามารถนิยามให้เป็นเลเซอร์ได้”
- ตัวกลางในการผลิตแสง (Lasing medium) ซึ่งแบ่งย่อยได้อีก 4 ชนิดตามสถานะของตัวกลาง ได้แก่ ของแข็ง ของเหลว ก๊าซ และสารกึ่งตัวนำ
- แหล่งกำเนิดพลังงานจากภายนอก (Puming System) ทำหน้าที่ในการกระตุ้นให้ตัวกลางเกิดการผลิตแสงเลเซอร์ออกมาก ซึ่งได้แก่ Flash lamp หรือ กระแสไฟฟ้าต่างๆ
- ออปติคัล คาร์วิตี (optical cavity) ประกอบไปด้วยกระจก 2 แผ่น วางหันหน้าเข้าหากัน บริเวณตรงกลางจะบรรจุ Lasing medium ไว้ ซึ่งเป็นบริเวณที่ทำให้เกิดลำแสงที่ถูกกระตุ้นซ้ำไปซ้ำมา จนได้แสงเลเซอร์ออกมาในที่สุด
- แขนส่งพลังงาน (Delivery System) เป็นส่วนที่ใช้สำหรับส่งพลังงานเลเซอร์ออกมาภายนอก
ประเภทของเลเซอร์
การจำแนกกลุ่มของเลเซอร์ สามารถแยกได้จากหลากหลายปัจจัย เช่น ตามตัวกลาง การประยุกต์ใช้ หรือตามระดับพลังงานที่ปล่อยออกมา ซึ่งสำหรับบทความนี้จะกล่าวถึงการจำแนกตามตัวกลางที่ใช้ในการผลิตเลเซอร์
หากแบ่งเลเซอร์ตามสถานะของตัวกลางที่เป็นแหล่งกำเนิด (Lasing medium) เราสามารถแบ่งได้ 4 ประเภท
- ของแข็ง (Solid State) : ได้แก่ ผลึกแร่หรือแท่งแก้ว จากอัญมณีบางชนิด เช่น Ruby (เลเซอร์ชนิดแรกของโลก), Alexandrite, ผลึก YAG (Yttrium-Aluminum-Garnet) และแท่งแก้ว (Glass) โดยตัวกลางเหล่านี้ทำหน้าที่เป็น Host Materials ซึ่งมักมีสารเจือชนิดอื่นที่ใช้เติมบนตัวกลางนี้ซึ่งทำให้เกิดแสงที่ต่างกันออกไป
Cr. YAG Picture: https://www.astarphotonics.com/product-detail/yag
Cr. Ruby Picture: http://www.lindasearcydesigns.com/faceted-gemstones/synthetic-laser-gem-alex17-ruby-red
- ของเหลว (Dye Laser) : ตัวกลางประเภทนี้ อาจใช้เป็นสีย้อม (Dye) ซึ่งเป็นสารเคมีอินทรีย์ที่มีความซับซ้อน ผสมน้ำ หรือแอลกฮอล์ โดยจุดเด่นของเลเซอร์ประเภทนี้ คือ เป็นเลเซอร์ที่ให้สีในช่วงที่ตามองเห็นได้ เช่น Rhodamine 6 G ให้แสงสีเหลืองไปถึงส้ม (570-610 nm), Rhodamine B ให้แสงช่วงสีแดง (605-635 nm) และ Dichloro fluore scein) ให้แสงเลเซอร์สีเขียว (530-560 nm)
- ก๊าซ (Gas) : เป็นเลเซอร์ที่ใช้ตัวกลางในสถานะก๊าซ เช่น CO2 Laser , He-Ne Laser และ Argon Laser เป็นต้น
- สารกึ่งตัวนำ (Semiconductor) : มักพบเป็นเลเซอร์ชนิดไดโอด (Diode Laser) สร้างจากสารกึ่งตัวนําชนิดพิเศษที่ถูกนํามาใช้ในการควบคุมทิศทางการไหลของกระแสไฟฟ้าผ่านทางรอยต่อระหว่างสารกึ่งตัวนํา สองชนิ ด คือ ชนิด p และ n โดยเรียกรอยต่อนี้ว่า p–n junction มักทำจากสารประกอบ เช่น แกลเลียมอาร์เซไนด์ (GaAs) แกลเลียมอะลูมิเนียมอาร์เซไนด์ (GaAlAs) แกลเลียมอาร์เซไนด์ฟอสฟายด์ (GaAsP) โดยให้ค่าพลังงานที่ต่างกัน ซึ่งเป็นตัวกำหนดค่าความยาวคลื่นของเลเซอร์
อีกหนึ่งคำที่คนมักพูดถึงอย่างแพร่หลายในวงการความงาม คือ เลเซอร์ IPL ซึ่งความจริงแล้วเป็นความเข้าใจที่ผิด เนื่องจาก IPL เป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยี ซึ่งไม่ใช่เลเซอร์ โดย IPL ย่อมาจาก Intense Pulsed Light เป็นอุปกรณ์ที่ให้แสงความเข้มข้นสูงอีกประเภทหนึ่งโดยปล่อยแสงที่มีความยาวคลื่นเป็นช่วงกว้าง (400-1,200 nm) ออกมาพร้อมๆ กันซึ่งการทำงานของ IPL นั้นมีความแตกต่างจาก Laser รวมถึงความเข้มของแสงที่ออกมาก็มีความแตกต่างกัน
สำหรับบทความต่อไป จะกล่าวถึงความจำเพาะเจาะจง และการทำงานของเลเซอร์ ที่มีบทบาทต่อวงการแพทย์ผิวหนังด้านความงามค่ะ
Reference
- https://www.ulsinc.com/learn/history-of-lasers
- http://www.rmutphysics.com/charud/oldnews/0/285/19/laser/k05.htm#:~:text=%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C(Laser)%20%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%81%E0%B9%84%E0%B8%9F%E0%B8%9F%E0%B9%89%E0%B8%B2%20%E0%B8%8B%E0%B8%B6%E0%B9%88%E0%B8%87,%E0%B9%82%E0%B8%9F%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%88%E0%B8%B0
- https://www.photonics.com/Articles/A_History_of_the_Laser_1960_-_2019/a42279
- file:///C:/Users/panipak.p/Downloads/091002_1.pdf
- http://nstda.or.th/rural/public/100%20articles-stkc/76.pdf
Share this post
รู้จักกับไขมันในร่างกาย
รู้จักกับไขมันในร่างกาย
ไขมัน…คำสั้นๆ ที่สร้างความกังวลใจให้กับหลายๆ คน เพราะคนส่วนใหญ่มักนึกถึงความอ้วน เซลลูไลท์ และโรคภัยไข้เจ็บที่ตามมา แต่จริงๆ แล้ว เจ้าก้อนกลมๆ สีเหลืองขนาดเล็กนั้น มีความมหัศจรรย์ และมีประโยชน์มากมายต่อร่างกายของเรา ทั้งเป็นแหล่งสะสมพลังงาน สร้างความอบอุ่น เป็นหมอนรองรับแรงกระแทก เป็นแหล่งของกรดไขมันจำเป็นที่สำคัญต่อการสร้างฮอร์โมนและสารประกอบสำคัญในร่างกายเพื่อส่งเสริมการทำงานของเซลล์ให้เป็นไปอย่างปกติ ช่วยดูดซึมวิตามิน A, D, E และ K เข้าสู่ร่างกาย และยังช่วยให้ร่างกายดูอ่อนเยาว์อีกด้วย
ความพิเศษของเซลล์ไขมัน คือ “เกิดแล้วไม่มีวันตาย และสามารถขยายตัวเองได้อย่างไม่จำกัดถึงกว่า 1000 เท่า” เปรียบเทียบง่ายๆ เหมือนกระเป๋าสะพายของคุณผู้หญิง ที่ถึงภายนอกจะเห็นว่ามีขนาดเล็กพกพาสะดวก แต่กลับจุสิ่งของได้มากมายเกินคาด และเมื่อร่างกายมีพลังงานสะสมมากเกินกว่าที่เซลล์ไขมันสามารถรับไหว ร่างกายจะผลิตเซลล์ไขมันเพิ่มขึ้นมาใหม่ได้อย่างไม่จำกัด เพื่อรองรับพลังงานสำรองเหล่านั้น ซึ่งการสะสมของไขมันในแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน ตามเพศ การใช้ชีวิตประจำวัน ทำให้เรามีรูปร่างที่แตกต่างกันออกไป และบางครั้งไขมันส่วนเกินเหล่านั้นอาจไปสะสมตามอวัยวะต่างๆ ภายในร่างกายเช่น บริเวณ หัวใจ ตับ ทำให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมาได้
สำหรับไขมันในร่างกาย (Body Fat) หรือที่เราคุ้นเคยกันในชื่อของ เนื้อเยื่อไขมัน (Adipose Tissue) นั้นเป็นเนื้อเยื่อเกี่ยวพันชนิดหนึ่งที่พบได้ทั่วไปในร่างกาย เจ้าเนื้อเยื่อไขมัน จะประกอบไปด้วยเซลล์ไขมัน (Adipocyte) ซึ่งเป็นเหมือนบัญชีเงินฝากพลังงานเพื่อสำรองไว้ใช้ในยามจำเป็น ซึ่งเจ้าก้อนเล็กๆ นี้เป็นแหล่งพลังงานที่ดีของร่างกาย ไขมันจากอาหารที่เราทานเข้าไปปริมาณ 1 กรัม สามารถให้พลังงานได้มากถึง 9 กิโลแคลอรี่ ในขณะที่โปรตีนและคาร์โบไฮเดรต 1 กรัม จะให้พลังงานเพียง 4 กิโลแคลอรี่
เนื้อเยื่อไขมันในร่างกายที่เราอาจไม่เคยรู้ แบ่งเป็น 2 ประเภท
- ไขมันสีขาว (White adipose tissue ; WAT) เป็นแหล่งสะสมพลังงานไว้ในร่างกาย เพื่อใช้ยามจำเป็น แต่การสะสมมากเกินไปจะทำให้เรามีร่างกายที่สมบูรณ์ เจ้าเนื้อ หรือมีห่วงยางบริเวณรอบเอวได้ หลายๆคน จึงพยายามจะกำจัดออกจากร่างกาย ไขมันสีขาว ประกอบไปด้วย ไตรกลีเซอร์ไรด์ (Triglycerides) ประมาณ 90% ส่วนประกอบที่เหลือเป็นน้ำ และระบบผลิตเอนไซม์ต่างๆ มีประโยชน์ในการช่วยผลิตฮอร์โมนอะดิโปเนกติน (Adiponectin) ที่ช่วยให้ร่างกายไวต่ออินซูลิน ซึ่งทำให้ลดโอกาสเสี่ยงในการเป็นโรคเบาหวานและหัวใจ พบประมาณ 20% และ 25% ของน้ำหนักตัวของเพศชายและหญิงตามลำดับ
- ไขมันสีน้ำตาล (Brown adipose tissue ; BAT) ไขมันชนิดนี้พบมากในช่วงวัยเด็ก และลดลงตามอายุที่มากขึ้น ในเซลล์ไขมันชนิดนี้มีไมโทคอนเดรียเป็นจำนวนมาก และการมีสีน้ำตาลนั้นเมาจากการมีธาตุเหล็กสะสมอยู่ มีบทบาทในการสลายพลังงาน (energy catabolism) รวมทั้งเผาผลาญไขมันสีขาว เพื่อเปลี่ยนเป็นความร้อนมาใช้ในการรักษาสมดุลของอุณหภูมิในร่างกาย
การสะสมของไขมันในร่างกาย พบได้ในหลายบริเวณ
- ไขมันในหลอดเลือด ที่เรารู้จักกันในชื่อของไตรกลีเซอไรด์และคอเลสเตอรอล ซึ่งตัวคอเลสเตอรอล จะแบ่งได้อีก 2 ชนิด คือ HDL เป็นคอเลสเตอรอลชนิดดี และ LDL เป็นคอเลสเตอรอลชนิดเลว ซึ่งเป็นต้นเหตุของการเกิดไขมันอุดตันเส้นเลือด
- ไขมันในช่องท้อง หรือ Visceral Fat เป็นไขมันส่วนที่อันตรายที่สุด แต่ไม่ค่อยมีคนรู้จัก ไขมันชนิดนี้มักเกาะตามอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย ทำให้รอบเอวหนา หน้าท้องป่องยื่น คนที่มีไขมันช่องท้องปริมาณมาก มีความเสี่ยงที่จะมีปัญหาสุขภาพตามมาได้ง่ายกว่าคนปกติถึง 3 เท่า สำหรับการกำจัดไขมันประเภทนี้ ไม่สามารถใช้ทางลัดหรือเทคโนโลยีทางด้านความงาม รวมทั้งการดูดไขมัน (Liposuction) ได้ ต้องอาศัยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดำรงชีวิต ทั้งการรับประทานอาหารและการออกกำลังกาย
- ไขมันใต้ชั้นผิวหนัง หรือ Subcutaneous Fat โดยกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ของไขมันทั้งหมดในร่างกายจะเกิดการสะสมในชั้นนี้ ไม่ว่าจะเป็นบริเวณแขน ต้นขา หน้าท้อง ซึ่งไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย แต่อาจเกิดเป็นรอยแตกลาย หรือเซลลูไลท์ ซึ่งสร้างความกังวลใจให้หลายๆ คนได้
- ไขมันดื้อ หรือ Stubborn Fat เป็นไขมันใต้ผิวหนังประเภทหนึ่ง มักพบตามหน้าท้องช่วงล่าง สะโพก ขา รวมถึงบริเวณเหนียงใต้คาง เหตุผลที่ถูกเรียกว่า “ไขมันดื้อ” เพราะกำจัดออกยากมากแต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ซึ่งปัจจุบันนี้มีเทคโนโลยีความงามที่พัฒนามาเพื่อช่วยแก้ปัญหาไขมันประเภทนี้โดยเฉพาะ
รู้ได้อย่างไร ... ว่าเราอ้วนเกินไปหรือเปล่า?
1. การวัดความอ้วนหรือผอมอาจมีด้วยกันหลายวิธี เริ่มกันด้วยวิธีที่ง่ายที่สุด ซึ่งก็คือการเปรียบเทียบความสูงกับน้ำหนักตัวโดยเฉลี่ย
- ผู้ชาย : น้ำหนักตัวที่เหมาะสม = ความสูง (เซนติเมตร) ลบด้วย 100
- ผู้หญิง : น้ำหนักตัวที่เหมาะสม = ความสูง (เซนติเมตร) ลบด้วย 110
2. วัดจากการหาค่าดัชนีมวลกาย* (Body Mass Index : BMI) ซึ่งเป็นค่าสากลที่นิยมใช้ทั่วไป มีสูตรคำนวณดังนี้
- BMI = น้ำหนักตัว (กิโลกรัม) / ส่วนสูง (เมตร)2
*ค่านี้อาจคลาดเคลื่อนได้ โดยเฉพาะผู้ที่เล่นกล้าม ที่จะมีน้ำหนักกล้ามเนื้อค่อนข้างมาก ทำให้ค่า BMI สูงได้โดยที่แทบไม่มีไขมันในร่างกายเลย
3. วัดจากเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกาย (Body fat) มีหลากหลายวิธี ตัวอย่างที่ง่ายคือ การคำนวณด้วยสมการ
- % ปริมาณไขมันในร่างกายสำหรับผู้ชาย = (1.2 x ดัชนีมวลกาย) + (0.23 x อายุเป็นปี) – 16.2
- % ปริมาณไขมันในร่างกายสำหรับผู้หญิง = (1.2 x ดัชนีมวลกาย) + (0.23 x อายุเป็นปี) – 5.4
โดยค่ามาตรฐานในผู้ชาย จะมีปริมาณ Body fat 15-20% และในผู้หญิง จะมีปริมาณ Body fat 25–30% หากพบว่ามีเปอร์เซ็นต์ที่สูงเกินกว่านี้ จะจัดว่าอ้วน อาจเปรียบเทียบจากรูปภาพได้ดังนี้
เรื่องของไขมันเป็นสิ่งใกล้ตัวคู่ความสวยและสุขภาพของเรา การได้ทำความรู้จักเบื้องต้นเกี่ยวกับไขมัน จะทำให้เราเข้าใจถึงองค์ประกอบของมัน ทำให้การดูแลตัวเองง่ายขึ้น หากใครที่มีปัญหาไขมันส่วนเกินอยู่ จะช่วยให้ง่ายต่อการศึกษาหาวิธีในการกำจัดไขมันและดูแลรูปร่างให้กลับมาสวยงามได้อย่างตรงจุดยิ่งขึ้น
Share this post
PicoSure เครื่องแท้ หรือ แค่หลอก
PicoSure เครื่องแท้ หรือ แค่หลอก
PicoSure เป็น Laser Technology ใหม่ ที่ได้รับ FDA ในเรื่องของการรักษาเม็ดสี ด้วยคุณสมบัติที่น่าทึ่งสามารถแก้ปัญหาผิวได้อย่างครอบคลุม ทำให้มีราคาเครื่องสูง และค่าบริการรักษาผิวก็สูงตามต้นทุนไปด้วย ในปัจจุบันนี้มีจำนวนเครื่อง PicoSure ที่ติดตั้งแล้วกว่า 50 เครื่องทั่วประเทศไทย และเพื่อเป็นการปกป้องผู้บริโภคจากครื่อง PicoSure ปลอม ซึ่งมีหลากหลายรูปแบบ ท่านสามารถตรวจสอบเครื่องแท้ในเบื้องต้น ด้วย 3 วิธีการดังนี้
• สังเกตุลักษณะภายนอกของเครื่อง PicoSure
• เทียบค่าบริการรักษา
• ค้นหารายชื่อคลินิกที่มีเครื่อง PicoSure แท้ได้ที่เว็บไซต์ Aesla
ลักษณะภายนอกของเครื่อง PicoSure แท้
เพื่อให้มั่นใจว่าท่านจะได้รับบริการที่มีประสิทธิภาพ สามารถสังเกตุลักษณะของเครื่อง PicoSure แท้ 5 จุด
ดังตัวอย่างรูปเครื่องแท้ด้านล่างนี้
❶ สัญลักษณ์ด้านหน้า
❷ มือจับสำหรับเคลื่อนย้าย
❸ สัญลักษณ์ด้านข้างตัวเครื่อง
❹ แขนส่งพลังงาน
❺ เลนส์สำหรับปล่อยพลังงาน
❶ สัญลักษณ์ด้านหน้า เป็นโลโก้ CYNOSURE
❷ มือจับสำหรับเคลื่อนย้ายเครื่อง PicoSure จะมีลักษณะโค้งลงด้านล่าง
❸ สัญลักษณ์ด้านข้างตัวเครื่อง มี 2 จุด
– จุดแรก บนแถบเงินมีสัญลักษณ์ PicoSure
– จุดที่สอง บนตัวเครื่องบริเวณสีดำ มีสัญลักษณ์ CYNOSURE
❹ แขนส่งพลังงานเครื่อง PicoSure แท้จะมีแขนส่งพลังงานสีเงินเท่านั้น
❺ ลักษณะของเลนส์สำหรับปล่อยพลังงานเครื่อง PicoSure แท้
เทียบค่าบริการรักษา
สำหรับค่าบริการรักษาผิวด้วยเครื่อง PicoSure เครื่องแท้ ที่นำเข้าโดย บริษัท เทคนิคอลไบโอเมด จำกัด จะมีเรทราคาดังนี้
• ราคาต่ำสุด ประมาณ 5,000 บาท / ครั้ง
• ราคาสูงสุด ประมาณ 35,000 บาท / ครั้ง
และมีราคาเฉลี่ย ประมาณ 9,000 บาท / ครั้ง
ค้นหารายชื่อคลินิกที่มีเครื่อง PicoSure แท้
อีกหนึ่งวิธีที่แสนง่าย ท่านสามารถค้นหารายชื่อคลินิกที่มีเครื่อง PicoSure แท้ได้ที่เว็บไซต์ Aesla หรือคลิกที่ลิงค์นี้เพื่อเริ่มค้นหาได้เลย