ไขข้อสงสัย? การทำ Skin Resurfacing ด้วยเทคโนโลยี Fractional RF และ RF Microneedling เหมือนหรือต่างกันอย่างไร?
อีกหนึ่งกระแสความงามที่มาแรงอย่างต่อเนื่องสำหรับคนหนุ่มสาวจากทั่วโลก คือการหานวัตกรรมหรือทรีทเมนต์ที่ตอบโจทย์การฟื้นฟูผิว โดยจากการสำรวจของ American Society for Dermatologic Surgery (ASDS) เผยว่า ผู้คนกว่า 70% ทั่วโลก มีความกังวลใจในเรื่องของการมีสีผิวไม่สม่ำเสมอหรือผิวที่ไม่เรียบเนียนกระจ่างใส และพยายามมองหาวิธีการต่างๆ เพื่อแก้ปัญหาผิวเหล่านั้น ซึ่งนวัตกรรมที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการดังกล่าวได้ คือ นวัตกรรมเพื่อการผลัดผิว หรือ การทำ Skin Resurfacing นั่นเอง
โดยนวัตกรรมนี้จะเน้นให้ผลในการแก้ปัญหาต่างๆ ได้อย่างครอบคลุม ไม่ว่าจะเป็น รูขุมขนที่กว้าง ริ้วรอยต่างๆ ปัญหารอยแตกลาย หลุมสิวหรือแผลเป็นต่างๆ เพื่อให้ผิวที่ไม่เรียบเนียนกลับมามีผลลัพธ์ที่ดีได้อย่างน่าอัศจรรย์ จนทำให้ตลาดความงามด้านการทำ Skin Resurfacing นี้ยังคงเติบโตเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งหากพูดถึงการทำ Skin Resurfacing ในปัจจุบัน ก็มีทางเลือกมากมายที่ต่างพัฒนามาเพื่อให้ผู้เข้ารับการรักษาได้รับความสะดวกสบายยิ่งขึ้น ร่วมกับระยะพักฟื้นที่สั้นลง ซึ่งเทรนด์ที่สามรถดึงดูดความสนใจของผู้คนอย่างล้นหลามในช่วงเวลานี้ มีด้วยกันหลักๆ 2 นวัตกรรม คือ Fractional RF Resurfacing และ RF Microneedling ที่มองเผินๆ หลายคนอาจเข้าใจว่าทั้งสองนวัตกรรมนี้คือสิ่งเดียวกัน แต่ในความเป็นจริงแล้วจะเป็นอย่างไร เรามาหาคำตอบกันในบทความนี้นะคะ
ก่อนอื่นเรามาเริ่มทำความรู้จักกันก่อนว่า Skin Resurfacing คืออะไร?
Skin Resurfacing หรือที่หลายๆ คนรู้จักกันในชื่อ “การผลัดผิว” เป็นคำศัพท์ทั่วไปทางด้านการรักษาที่สื่อถึงการทำให้ผิวเกิดความเสียหายด้วยวิธีการต่างๆ ที่เราสามารถควบคุมได้ โดยความเสียหายที่เกิดขึ้นกับผิวนั้น จะกระตุ้นให้ร่างกายเกิดกระบวนการบำบัดตามธรรมชาติเพื่อซ่อมแซมส่วนเหล่านั้น และฟื้นฟูปัญหาผิวที่มีอยู่ให้เหลือน้อยที่สุด
การทำ Skin Resurfacing มักจะก่อให้เกิดปฏิกิริยา 2 ประเภทที่ผิวหนังของเรา คือ Ablation และ Coagulation ซึ่งขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีที่เราใช้ โดยอาจเกิดทั้งสองปฏิกิริยา หรือเกิดเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง การเกิด Ablation เป็นการส่งพลังงานความร้อนที่มากกว่า 100 องศาเซลเซียสลงสู่ชั้นผิวอย่างรวดเร็ว เพื่อให้ผิวชั้นบน (superficial layer) เกิดการระเหิดไปในทันที โดยกระบวนการซ่อมแซมจะใช้เวลาพอสมควร ขึ้นอยู่กับเทคนิคที่ใช้ในการรักษา รวมถึงความเสียหายของเนื้อเยื่อผิว ซึ่งหากเราเลือกการรักษาที่ทำให้ผิวเกิดการ Ablation มาก ระยะเวลาพักฟื้นจะใช้เวลามากตามไปด้วย ทั้งอาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อ หรือเกิดรอยดำหลังการอักเสบ hypopigmentation (PIH) ตามมาได้ ยกตัวอย่างเช่น การทำ CO2 lasers และ Plasma lasers
อีกหนึ่งปฏิกิริยาที่สามารถเกิดขึ้นจากการทำ Skin Resurfacing คือ Coagulation เป็นการสะสมพลังงานความร้อนสู่ผิวชั้นลึกเพื่อกระตุ้นให้เกิดการสร้างเส้นใยคอลลาเจนและอีลาสติน (neocollagenesis) เพิ่มขึ้น ซึ่งมีเทคโนโลยีมากมายที่ช่วยให้ผิวเกิด Coauglation ได้โดยไม่ทำลายผิวชั้นบน เช่น Fractional Non-Ablative Lasers, RF รวมถึง HIFU
RF Microneedling VS Fractional RF
เทคโนโลยี RF Microneedling พัฒนามาจากการทำ Microneedling แบบดั้งเดิม ซึ่งเป็นการใช้เข็มขนาดเล็ก (อาศัยแรงเชิงกล) เจาะเข้าสู่ผิวหนังเพื่อให้เกิดบาดแผลใต้ชั้นผิวในระดับความลึกต่างๆ แผลที่เกิดขึ้นจะกระตุ้นให้ร่างกายเกิดกระบวนการฟื้นฟูผิวตามธรรมชาติ โดยที่ผิวไม่ได้เกิดกระบวนการ Ablation หรือ Coagulation เลย ซึ่งเทคโนโลยีนี้อาจสร้างความเจ็บปวดให้แก่ผู้เข้ารับการรักษา เนื่องจากบาดแผลมีขนาดที่ค่อนข้างใหญ่ รวมทั้งมีระยะการพักฟื้นที่ยาวนานและเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย
ต่อมามีการพัฒนาและเพิ่มพลังงาน RF ร่วมกับการใช้ Microneedles เป็นนวัตกรรมที่เรียกว่า RF Microneedling ในการส่งพลังงานความร้อนให้แก่ชั้นผิวที่ผ่านปลายเข็มนั้นๆ เพื่อกระตุ้นให้ผิวเกิดกระบวนการ coagulation โดยที่ผิวชั้นบนจะไม่ได้ผลในการผลัดผิวเลยแม้แต่น้อย
สำหรับเทคโนโลยี Fractional RF เป็นเทคโนโลยีที่อาศัยการทำงานผ่านพินขนาดเล็กที่สัมผัสบริเวณผิวหนังชั้นบน และส่งคลื่นความถี่วิทยุเพื่อให้เกิดการสะสมพลังงานความร้อนใต้ผิวที่ลึกลงไป เพื่อให้เกิดปฏิกิริยา Ablation ที่ผิวชั้นบนเกิดการสร้างเซลล์ผิวใหม่ และเกิด Coagulation ที่ผิวชั้นลึกซึ่งกระตุ้นให้ไฟโบรบลาสต์เกิดการสร้างคอลลาเจนและเส้นใยอีลาสตินเพิ่มขึ้นไปพร้อมๆ กัน ซึ่งการทำงานร่วมกันของปฏิกิริยาทั้งสองนี้ ทำให้ผิวได้รับการฟื้นฟูอย่างเต็มกระบวนการ เผยผิวใหม่ สุขภาพดี และผลลัพธ์ที่ยาวนานเมื่อเทียบกับวิธีการอื่นๆ
และในปัจจุบันได้มีการพัฒนานวัตกรรม NanoFractional RF เพื่อผลการรักษาที่ดียิ่งขึ้น ดังเช่น Venus Viva™ MD ซึ่งก่อให้เกิดบาดแผลที่มีขนาดเล็กมาก รวมทั้งสามารถควบคุมพลังงานเพื่อให้เกิดปฏิกิริยา Ablation ร่วมกับ Coagulation ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ผ่านปลายพินขนาดเล็ก (160 x 38 um2) โดยผสานเทคโนโลยี SmartScan™ ที่มีอัลกอริธึมอันแตกต่างในการควบคุมการปล่อยพลังงานได้อย่างสม่ำเสมอในรูปแบบสุ่ม ทำให้เนื้อเยื่อผิวเกิดเป็นแผลสลับกับผิวที่ดี เพื่อช่วยให้ผิวเกิดการฟื้นฟูได้อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่ว่าจะเป็นการลดรอยแผลเป็นจากสิวหรือรอยแผลเป็นอื่นๆ การฟื้นฟูริ้วรอยทั้งร่องลึกและตื้น การปรับสภาพผิวและแก้ไขปัญหาเม็ดสีผิวที่ไม่สม่ำเสมอ โดยมีการพักฟื้นที่สั้นลง แผลหายเร็วขึ้น ลดความเสี่ยงในการเกิดรอยดำหลังการอักเสบ (PIH) และปลอดภัยสำหรับทุกสภาพผิวและทุกโทนสีผิว
จากบทความนี้เราจะเห็นได้ว่านวัตกรรมทั้ง 2 นี้ แม้จะเป็นการทำ Skin Resurfacing เหมือนกัน แต่กลับมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ทั้งในเรื่องของหลักการทำงาน ผลลัพธ์ และระยะเวลาพักฟื้น รวมถึงความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นเนื่องจาก RF Microneedling จะเป็นการรักษาที่ให้ผลเฉพาะในผิวชั้นลึกเท่านั้น ซึ่งต่างจาก Fractional RF ที่สามารถฟื้นฟูผิวได้ทั้งชั้นบนและผิวชั้นลึก นอกจากนี้การทำ Skin Resurfacing ยังมีนวัตกรรมอีกมากมายที่แตกต่างออกไป ทั้งการใช้ Laser ชนิดต่างๆ รวมทั้งการใช้สารเคมีเพื่อผลัดเซลล์ผิว โดยนับเป็นทรีทเมนต์ที่เติบโตรวดเร็วที่สุดเป็นอันดับหนึ่งในปี 2017 เลยทีเดียวค
Share this post
AESLA AWARDS 2024 | A NIGHT OF STELLAR HONORS
The Event will start in Days Hours Minutes Seconds You
3 วิธีเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวหน้าและผิวกาย บอกลาผิวแห้ง ผิวขาดน้ำ
3 วิธีเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวหน้าและผิวกาย บอกลาผิวแห้ง
Potenza นวัตกรรม Microneedling 4 Mode ตอบโจทย์เรื่องยกกระชับผิวหน้าและลำคอ
Potenza นวัตกรรม Microneedling 4 Mode ตอบโจทย์เรื่องยกก
เทคนิคการฉีดฟิลเลอร์ขั้นสูง สร้างผลลัพธ์ธรรมชาติและยาวนาน
เทคนิคการฉีดฟิลเลอร์ขั้นสูง สร้างผลลัพธ์ธรรมชาติและยาวน
จบปัญหาหลุมสิว ผิวหน้าไม่เรียบเนียน ด้วยนวัตกรรมรักษาหลุมสิว 2024
จบปัญหาหลุมสิว ผิวหน้าไม่เรียบเนียน ด้วยนวัตกรรมรักษาหล
“ผิวหย่อนคล้อยก่อนวัย” สาเหตุเกิดจากอะไร? แก้อย่างไรดี?
“ผิวหย่อนคล้อยก่อนวัย” สาเหตุเกิดจากอะไร? แก้อย่างไรดี?