Open on Mon – Fri 09:00-18:00

Venus Concept Inc. Announces FDA 510(k) Clearance for Venus Viva MD

Venus Concept Inc. Announces FDA 510(k) Clearance for Venus Viva MD

Venus Concept Inc. Announces FDA 510(k) Clearance for Venus Viva MD

Venus Concept Inc. Announces FDA 510(k) Clearance for Venus Viva MD

   Venus Viva MD นวัตกรรมเพื่อการฟื้นฟูผิวในรูปแบบใหม่จาก Venus Concept Inc. ผู้นำด้านเทคโนโลยีความงามทางการแพทย์ระดับโลก เป็นอีกหนึ่งในนวัตกรรมที่ช่วยขยายความสามารถในการดูแลและรักษาปัญหาผิวได้อย่างครอบคลุม และตอบโจทย์แก่วงการแพทย์ผิวหนังด้านความงามมากยิ่งขึ้น

 

   Venus Viva MD เป็นอุปกรณ์ขนาดกระทัดรัด ที่มาพร้อมด้วย 2 แอปพลิเคเตอร์ สามารถทำงานและรักษาปัญหาผิวได้หลากหลาย โดยมี Viva MD applicator ซึ่งเป็น fractional handpiece ตัวใหม่ ที่ปลายหัวทิปประกอบไปด้วยพินขนาดเล็ก จำนวน 80 พิน พร้อมเพิ่ม output energy เป็นสองเท่า (124 mJ/pin) เมื่อเทียบกับแอปพลิเคเตอร์เดิม ซึ่ง Viva MD applicator 80 พิน เหมาะสำหรับการรักษาผิวที่ต้องการให้มีการเกิด Ablation และการผลัดเซลล์ผิวใหม่ เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา ร่วมกับความปลอดภัยสูงสุด

 

   Venus Viva MD เป็นหนึ่งในนวัตกรรมประเภท non-invasive treatment เพื่อการรักษาปัญหาริ้วรอยบนใบหน้า ทั้งในระดับปานกลางถึงรุนแรงได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งการรักษา ปัญหาหลุมสิว (acne scars) สีผิวไม่สม่ำเสมอ (dyschromia) รอยแตกลาย (striae) และปัญหารูขุมขนกว้าง (enlarged pores) โดยเหมาะสำหรับสีผิว Fitzpatrick I-IV นอกเหนือกว่านั้น ยังมาพร้อมกับเทคโนโลยี Internet of Things (IoT) เพื่อช่วยในการรวบรวมข้อมูลต่างๆ สำหรับช่วยพัฒนารูปแบบของธุรกิจและเพิ่มประสิทธิภาพของการรักษาให้ดียิ่งขึ้น โดย Venus Viva MD. เป็นอุปกรณ์ที่ได้รับ FDA 510(k) ล่าสุด เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2020 ที่ผ่านมา

Reference :
https://www.venusconcept.com/en-gl/news/venus-concept-inc-announces-fda-510k-clearance-for-venus-viva-md/?utm_source=socialmedia&utm_medium=referral&utm_campaign=SocialContent&fbclid=IwAR2nvoWl3VszmEn2bu3cguMd7WE7OCLEc_4dcXjaayOG6QEINnftFmufRoU

Skin Resurfacing

ความแตกต่างของ Skin Resurfacing ด้วยเทคโนโลยี Fractional RF vs RF Microneedling

Skin Resurfacing

ไขข้อสงสัย? การทำ Skin Resurfacing ด้วยเทคโนโลยี Fractional RF และ RF Microneedling เหมือนหรือต่างกันอย่างไร?

อีกหนึ่งกระแสความงามที่มาแรงอย่างต่อเนื่องสำหรับคนหนุ่มสาวจากทั่วโลก คือการหานวัตกรรมหรือทรีทเมนต์ที่ตอบโจทย์การฟื้นฟูผิว โดยจากการสำรวจของ American Society for Dermatologic Surgery (ASDS) เผยว่า ผู้คนกว่า 70% ทั่วโลก มีความกังวลใจในเรื่องของการมีสีผิวไม่สม่ำเสมอหรือผิวที่ไม่เรียบเนียนกระจ่างใส และพยายามมองหาวิธีการต่างๆ เพื่อแก้ปัญหาผิวเหล่านั้น ซึ่งนวัตกรรมที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการดังกล่าวได้ คือ นวัตกรรมเพื่อการผลัดผิว หรือ การทำ Skin Resurfacing นั่นเอง

 

โดยนวัตกรรมนี้จะเน้นให้ผลในการแก้ปัญหาต่างๆ ได้อย่างครอบคลุม ไม่ว่าจะเป็น รูขุมขนที่กว้าง ริ้วรอยต่างๆ ปัญหารอยแตกลาย หลุมสิวหรือแผลเป็นต่างๆ เพื่อให้ผิวที่ไม่เรียบเนียนกลับมามีผลลัพธ์ที่ดีได้อย่างน่าอัศจรรย์ จนทำให้ตลาดความงามด้านการทำ Skin Resurfacing นี้ยังคงเติบโตเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งหากพูดถึงการทำ Skin Resurfacing ในปัจจุบัน ก็มีทางเลือกมากมายที่ต่างพัฒนามาเพื่อให้ผู้เข้ารับการรักษาได้รับความสะดวกสบายยิ่งขึ้น ร่วมกับระยะพักฟื้นที่สั้นลง ซึ่งเทรนด์ที่สามรถดึงดูดความสนใจของผู้คนอย่างล้นหลามในช่วงเวลานี้ มีด้วยกันหลักๆ 2 นวัตกรรม คือ Fractional RF Resurfacing และ RF Microneedling ที่มองเผินๆ หลายคนอาจเข้าใจว่าทั้งสองนวัตกรรมนี้คือสิ่งเดียวกัน แต่ในความเป็นจริงแล้วจะเป็นอย่างไร เรามาหาคำตอบกันในบทความนี้นะคะ

Skin Resurfacing

ก่อนอื่นเรามาเริ่มทำความรู้จักกันก่อนว่า Skin Resurfacing คืออะไร?

Skin Resurfacing หรือที่หลายๆ คนรู้จักกันในชื่อ “การผลัดผิว” เป็นคำศัพท์ทั่วไปทางด้านการรักษาที่สื่อถึงการทำให้ผิวเกิดความเสียหายด้วยวิธีการต่างๆ ที่เราสามารถควบคุมได้ โดยความเสียหายที่เกิดขึ้นกับผิวนั้น จะกระตุ้นให้ร่างกายเกิดกระบวนการบำบัดตามธรรมชาติเพื่อซ่อมแซมส่วนเหล่านั้น และฟื้นฟูปัญหาผิวที่มีอยู่ให้เหลือน้อยที่สุด

 

การทำ Skin Resurfacing มักจะก่อให้เกิดปฏิกิริยา 2 ประเภทที่ผิวหนังของเรา คือ Ablation และ Coagulation ซึ่งขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีที่เราใช้ โดยอาจเกิดทั้งสองปฏิกิริยา หรือเกิดเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง การเกิด Ablation เป็นการส่งพลังงานความร้อนที่มากกว่า 100 องศาเซลเซียสลงสู่ชั้นผิวอย่างรวดเร็ว เพื่อให้ผิวชั้นบน (superficial layer) เกิดการระเหิดไปในทันที โดยกระบวนการซ่อมแซมจะใช้เวลาพอสมควร ขึ้นอยู่กับเทคนิคที่ใช้ในการรักษา รวมถึงความเสียหายของเนื้อเยื่อผิว ซึ่งหากเราเลือกการรักษาที่ทำให้ผิวเกิดการ Ablation มาก ระยะเวลาพักฟื้นจะใช้เวลามากตามไปด้วย ทั้งอาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อ หรือเกิดรอยดำหลังการอักเสบ hypopigmentation (PIH) ตามมาได้ ยกตัวอย่างเช่น การทำ CO2 lasers และ Plasma lasers

 

อีกหนึ่งปฏิกิริยาที่สามารถเกิดขึ้นจากการทำ Skin Resurfacing คือ Coagulation เป็นการสะสมพลังงานความร้อนสู่ผิวชั้นลึกเพื่อกระตุ้นให้เกิดการสร้างเส้นใยคอลลาเจนและอีลาสติน (neocollagenesis) เพิ่มขึ้น ซึ่งมีเทคโนโลยีมากมายที่ช่วยให้ผิวเกิด Coauglation ได้โดยไม่ทำลายผิวชั้นบน เช่น Fractional Non-Ablative Lasers, RF รวมถึง HIFU   

RF Microneedling VS Fractional RF

RF Microneedling VS Fractional RF

เทคโนโลยี RF Microneedling พัฒนามาจากการทำ Microneedling แบบดั้งเดิม ซึ่งเป็นการใช้เข็มขนาดเล็ก (อาศัยแรงเชิงกล) เจาะเข้าสู่ผิวหนังเพื่อให้เกิดบาดแผลใต้ชั้นผิวในระดับความลึกต่างๆ แผลที่เกิดขึ้นจะกระตุ้นให้ร่างกายเกิดกระบวนการฟื้นฟูผิวตามธรรมชาติ โดยที่ผิวไม่ได้เกิดกระบวนการ Ablation หรือ Coagulation เลย ซึ่งเทคโนโลยีนี้อาจสร้างความเจ็บปวดให้แก่ผู้เข้ารับการรักษา เนื่องจากบาดแผลมีขนาดที่ค่อนข้างใหญ่ รวมทั้งมีระยะการพักฟื้นที่ยาวนานและเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย 

 

ต่อมามีการพัฒนาและเพิ่มพลังงาน RF ร่วมกับการใช้ Microneedles เป็นนวัตกรรมที่เรียกว่า RF Microneedling ในการส่งพลังงานความร้อนให้แก่ชั้นผิวที่ผ่านปลายเข็มนั้นๆ เพื่อกระตุ้นให้ผิวเกิดกระบวนการ coagulation โดยที่ผิวชั้นบนจะไม่ได้ผลในการผลัดผิวเลยแม้แต่น้อย

 

สำหรับเทคโนโลยี Fractional RF เป็นเทคโนโลยีที่อาศัยการทำงานผ่านพินขนาดเล็กที่สัมผัสบริเวณผิวหนังชั้นบน และส่งคลื่นความถี่วิทยุเพื่อให้เกิดการสะสมพลังงานความร้อนใต้ผิวที่ลึกลงไป เพื่อให้เกิดปฏิกิริยา Ablation ที่ผิวชั้นบนเกิดการสร้างเซลล์ผิวใหม่ และเกิด Coagulation ที่ผิวชั้นลึกซึ่งกระตุ้นให้ไฟโบรบลาสต์เกิดการสร้างคอลลาเจนและเส้นใยอีลาสตินเพิ่มขึ้นไปพร้อมๆ กัน  ซึ่งการทำงานร่วมกันของปฏิกิริยาทั้งสองนี้ ทำให้ผิวได้รับการฟื้นฟูอย่างเต็มกระบวนการ เผยผิวใหม่ สุขภาพดี  และผลลัพธ์ที่ยาวนานเมื่อเทียบกับวิธีการอื่นๆ 

 

และในปัจจุบันได้มีการพัฒนานวัตกรรม NanoFractional RF เพื่อผลการรักษาที่ดียิ่งขึ้น ดังเช่น Venus Viva™ MD ซึ่งก่อให้เกิดบาดแผลที่มีขนาดเล็กมาก รวมทั้งสามารถควบคุมพลังงานเพื่อให้เกิดปฏิกิริยา Ablation ร่วมกับ Coagulation ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ผ่านปลายพินขนาดเล็ก (160 x 38 um2) โดยผสานเทคโนโลยี SmartScan™ ที่มีอัลกอริธึมอันแตกต่างในการควบคุมการปล่อยพลังงานได้อย่างสม่ำเสมอในรูปแบบสุ่ม ทำให้เนื้อเยื่อผิวเกิดเป็นแผลสลับกับผิวที่ดี เพื่อช่วยให้ผิวเกิดการฟื้นฟูได้อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่ว่าจะเป็นการลดรอยแผลเป็นจากสิวหรือรอยแผลเป็นอื่นๆ การฟื้นฟูริ้วรอยทั้งร่องลึกและตื้น การปรับสภาพผิวและแก้ไขปัญหาเม็ดสีผิวที่ไม่สม่ำเสมอ โดยมีการพักฟื้นที่สั้นลง แผลหายเร็วขึ้น ลดความเสี่ยงในการเกิดรอยดำหลังการอักเสบ (PIH) และปลอดภัยสำหรับทุกสภาพผิวและทุกโทนสีผิว

 

จากบทความนี้เราจะเห็นได้ว่านวัตกรรมทั้ง 2 นี้ แม้จะเป็นการทำ Skin Resurfacing เหมือนกัน แต่กลับมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ทั้งในเรื่องของหลักการทำงาน ผลลัพธ์ และระยะเวลาพักฟื้น รวมถึงความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นเนื่องจาก RF Microneedling จะเป็นการรักษาที่ให้ผลเฉพาะในผิวชั้นลึกเท่านั้น ซึ่งต่างจาก Fractional RF ที่สามารถฟื้นฟูผิวได้ทั้งชั้นบนและผิวชั้นลึก นอกจากนี้การทำ Skin Resurfacing ยังมีนวัตกรรมอีกมากมายที่แตกต่างออกไป ทั้งการใช้ Laser ชนิดต่างๆ รวมทั้งการใช้สารเคมีเพื่อผลัดเซลล์ผิว โดยนับเป็นทรีทเมนต์ที่เติบโตรวดเร็วที่สุดเป็นอันดับหนึ่งในปี 2017 เลยทีเดียวค

beauty in trend

8 เทรนด์ความงามที่น่าจับตามองในปี 2021

beauty in trend

8 เทรนด์ความงาม ที่น่าจับตามองในปี 2021

ในช่วงเวลาเริ่มต้นปีใหม่ หลาย ๆ คนอาจมีการตั้ง Year Goal ให้กับตัวเอง เพื่อเป็นการเริ่มต้นพัฒนาและปรับปรุงตัวเองให้เป็นคนใหม่ที่ดีขึ้นกว่าเดิม โดยอาจเป็นการสร้าง Mission ต่าง ๆ ทั้งในเรื่องของการพัฒนาตนเอง ด้วยการอัพเดท Skills ใหม่ ๆ เช่น การเรียนออนไลน์, การอ่านหนังสือเพิ่มขึ้น หรือด้านการดูแลตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการเลือกทานอาหาร, การดูแลสุขภาพ, การออกกำลังกาย ไปจนถึงการดูแลรูปร่างและความสวยความงาม นั่นเอง

 

สำหรับบทความนี้ เราได้รวบรวม 8 เทรนด์ความงามจากทั่วโลก ที่เป็นกระแสมาแรงและน่าจับตามองในปี 2021 มาฝากกันค่ะ เรามาอัพเดทไปพร้อม ๆ กันนะคะ

Less is More - Less is More

1. Less is More (ดูดีแบบมินิมอล เจ็บน้อย พักฟื้นน้อย ไม่เน้นผ่าตัด)

“Less is More” ในที่นี้หมายถึง การรักษาที่เน้น “minimally invasive” โดยผู้คนต่างมองหาความสะดวกสบายที่เพิ่มขึ้น เจ็บตัวน้อยลง ใช้ระยะเวลาสั้น รวมถึงการพักฟื้นที่น้อยที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ และให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติที่สุด

Everything Eyes - beauty trend 2021

2. Everything Eyes (เพราะ”ดวงตา” คือ หน้าต่างของ “หัวใจ”)

ด้วยสถานการณ์ในปัจจุบัน ทั้งการระบาดของ Covid-19 และมลภาวะทางอากาศอย่าง PM 2.5 ทำให้เราจำเป็นที่ต้องใส่หน้ากากอนามัยต่อไป โดยบริเวณที่เปิดเผยให้คนอื่นๆ เห็นได้ ก็คือ ส่วนบนของใบหน้าเรา หรือ บริเวณช่วง “ตาและคิ้ว” นั่นเอง นอกจากนี้ จากคำกล่าวสุดคลาสสิคที่ว่า ดวงตา” คือหน้าต่างของ “หัวใจ” ซึ่งถือเป็นส่วนสำคัญสำหรับการสื่อสารของเราเลยทีเดียว  โดยเทรนด์ความงาม สำหรับบริเวณดวงตา ยกตัวอย่างเช่น

  • การทำ Brow lift ด้วย Botox เพื่อดวงตากลมโต แก้ไขปัญหาหางตาตก
  • การทำ Under-eye brightening ด้วยสารเติมเต็มผิว เช่น Fillers
  • การต่อขนตาปลอมและการสักคิ้ว
Tweakment- beauty trend 2021

3. Tweakment เน้น Natural look

Tweakment เป็นเทรนด์ความงามที่ยังคงเป็นกระแสอย่างต่อเนื่อง เกิดจากการผสมคำ 2 คำ คือ Tiny + Treatment ที่สื่อถึง การดูแลความสวยความงามทีละน้อย อย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติที่สุด ซึ่งเทรนด์นี้เริ่มต้นมาจากดาราและ Celebrity จาก Hollywood ที่ยังคงห่วงเรื่องความสวยความงาม และต้องการหลีกเลี่ยงการเปลี่ยนเเปลงที่ชัดเจนจนเกินไปจนอาจถูกจับผิดได้

Combination are King - beauty trend 2021

4. Combination are King

เป็น Concept ของการเลือก Combine นวัตกรรมต่างๆ เข้าด้วยกัน เพื่อเพิ่มผลลัพธ์ให้เหนือขั้นขึ้นกว่าเดิม โดยไม่ได้จำกัดประเภทของเทคโนโลยี ตัวอย่างเช่น

  • การดูแลรูปร่างด้วยการ Reduce Fat ร่วมกับการ Kill Fat
  • การทำ Skin Rejuvenation ร่วมกับการใช้ PRP หรือ Biological product เพื่อกระตุ้นให้ผิวเกิดกระบวนการฟื้นฟูได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • การใช้สารเติมแต่ง เช่น Botox ร่วมกับ Fillers
Zoom Face is Real - beauty trend 2021

5. Zoom Face is Real (เน้นหน้าเรียว กรอบหน้าชัด)

การ Lockdown และ Work From Home ที่เกิดขึ้น ทำให้หลายคนมีเวลามากขึ้น บางคนอาจทำอาหารหรือขนมรับประทานเองมากขึ้น จนอาจทำให้เกิดเหนียงน้อยๆ ซึ่งอาจสร้างความไม่มั่นใจให้กับหลายคนที่ต้องมีการประชุมงานผ่านทาง Zoom หรือ VDO Conference ที่อาจเน้นบริเวณนั้นๆ ให้เห็นได้ชัดเจน ผ่านทางหน้าจอนั่นเอง ดังนั้นอีกหนึ่งเทรนด์ความงามที่กำลังมาแรง คือการหานวัตกรรมเพื่อลดไขมันส่วนเกินบริเวณเหนียงหรือการดูแลบริเวณกรอบหน้าให้ชัดเจนยิ่งขึ้น นอกจากนี้หลายคนยังมุ่งหวังการมีผิวสุขภาพดีอย่างเป็นธรรมชาติ คล้ายการใส่ Filter ในกล้องถ่ายรูปอีกด้วย

Men Treatment to be consider - beauty trend 2021

6. Men Treatment to be consider (ไม่ใช่แค่ผู้หญิงที่อยากดูดี)

ด้วยปัจจุบันนี้โลกของเราหมุนเข้าสู่ยุคใหม่ที่ผู้ชายเริ่มหันมาดูแลตัวเอง ใส่ใจในเรื่องของบุคลิกและการเข้าสังคมมากขึ้น ซึ่งอีกหนึ่งเทรนด์ความงามที่เริ่มก้าวเข้ามามีบทบาทมากขึ้นทั่วโลก คือ ทรีทเมนต์การรักษาเพื่อคุณผู้ชาย ทั้งการดูแลผิวหน้า การกำจัดขน กสนเสริมสร้างกล้ามเนื้อหรือสร้างซิกแพค รวมไปถึงเรื่องของการดูแลปัญหาเส้นผม

Hyper Personalize Beauty - beauty trend 2021

7. Hyper Personalize Beauty (ความสวยเพื่อคุณโดยเฉพาะ)

เราทุกคนต่างต้องการความแตกต่าง เน้นให้ความสำคัญกับคำว่า “พิเศษ” มากขึ้น สำหรับเทรนด์ความงามนี้เป็นเทรนด์ความต้องการเฉพาะบุคคล โดยมองหาความแปลกใหม่และแตกต่าง ทั้งในเรื่องของ “ผลิตภัณฑ์” หรือ “นวัตกรรมเสริมความงาม” ที่สามารถออกแบบและปรับเปลี่ยนอย่างเฉพาะเจาะจงในแต่ละบุคคลได้อย่างเหมาะสม เพื่อให้ผลลัพธ์ที่ดีและพิเศษที่สุด

Inside Out Beauty - beauty trend 2021

8. Inside Out Beauty (ดูดีจากภายใน..ด้วยการทานอาหารดีๆ)

นอกจากอาศัยตัวช่วยต่างๆ จากภายนอกแล้ว การดูแลตัวเองด้วยโภชนาการต่างๆ ก็เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อการเสริมสร้างและปรับปรุงตัวเองจากภายในสู่ภายนอก โดยการเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกาย ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว และการพักผ่อนที่เพียงพอ

 

ทั้งหมดนี้เป็นเทรนด์ความงามที่กำลังมีบทบาทอย่างมาก สำหรับปี 2021 นะคะ โดยหวังว่าข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับหลายคนที่กำลังมองหาแนวทางใหม่ๆ เพื่อเป็น Year Goal ในการดูแลตัวเองให้ดีขึ้น นอกจากนี้การรักษาสุขภาพและการดูแลตัวเองอย่างรัดกุม ยังคงเป็นสิ่งสำคัญที่เรายังต้องดำเนินต่อไป เนื่องจากอุบัติการณ์ของโรคติดต่อที่ยังคงอยู่กับเราในปัจจุบันนะคะ