Open on Mon – Fri 09:00-18:00

วิธีลดไขมัน

ออกกำลังกายมาตั้งนาน ลดไขมัน ไม่ได้สักที!

วิธีลดไขมัน

“ออกกำลังกายมาตั้งนาน
ลดไขมัน ไม่ได้สักที”

จากอดีตจนถึงปัจจุบัน การดูแลรูปร่างให้สวยและดูดีนั้น ถือเป็นความฝันของใครหลาย ๆ คน ที่รักและหลงไหลในการดูแลรูปร่าง เราปฎิเสธไม่ได้ว่า แนวคิดเรื่องของการลดไขมันเพื่อรูปร่างที่สวยแบบพิมพ์นิยม หรือ บิวตี้สแตนดาร์ด (Beauty standard) นั้น ถูกปลูกฝังมาอย่างเนิ่นนาน แม้ในปัจจุบันคำนิยามของคำว่า “Real Size Beauty” กำลังถูกพูดถึงเป็นอย่างมากก็ตาม เพื่อเปิดมุมมองอีกด้านของการภูมิใจในตัวตนและความแตกต่างของรูปร่างตนเอง ทำให้ในสังคมไทยมีมุมมองเรื่องของความสวยในรูปร่างที่หลากหลายออกไป จึงไม่แปลก ที่ใครหลาย ๆ คน ยังต้องการลดไขมันเพื่อให้ได้รูปร่างที่สวยและดูดีอยู่เสมอ ทั้งยังสร้างความมั่นใจให้กับตนเองอีกด้วย 

 

          แน่นอน “การลดไขมัน” ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับทุกคน ต้องอาศัยความพยายาม ความตั้งใจ และการมีวินัยเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกายอย่างหนัก และการควบคุมอาหารอยู่ตลอดเวลาเพื่อลดไขมัน บางคนถึงกับท้อและสิ้นหวังในการลดไขมันอย่างมาก เพื่อแลกมากับรูปร่างที่ดูดี ไร้ไขมัน จึงเกิดเป็นคำถามว่า “ออกกำลังกายมาตั้งนาน ทำไมลดไขมันไม่ได้สักที” 

หากเราจะพูดถึงประโยชน์ของ “ไขมัน” ไม่ว่าจะใช้เป็นแหล่งพลังงานของร่างกาย เพื่อใช้ในการทำกิจกรรมต่าง ๆ หรือช่วยดูดซึมและสะสมวิตามินได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมไปถึงรสชาติของอาหารที่มีความนุ่มลิ้น ถูกปากสำหรับหลาย ๆ คน  จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการสะสมของไขมันที่มากเกินกว่าความต้องการของร่างกาย

 

เกิดเป็นไขมันที่สะสมในชั้นใต้ผิวหนัง (Subcutaneous) นอกจากจะทำให้รูปร่างอ้วนและลงพุงแล้ว ยังก่อให้เกิดโรคต่าง ๆ เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หลอดเลือดหัวใจ และคอเรสเตอรอลในเลือดสูง โดยการพิจารณาว่าบุคคลใดมีรูปร่างที่อ้วนหรือผอมไป นั้นต้องพิจารณาจาก ค่าดัชนีมวลกาย (BMI) ซึ่งเป็นมาตรการที่ใช้ประเมินภาวะอ้วนและผอมในผู้ใหญ่ ตั้งแต่อายุ 20 ปีขึ้นไป มีค่าเท่ากับ น้ำหนัก (หน่วยเป็นกิโลกรัม) หารด้วยส่วนสูง (หน่วยเป็นเมตร) ยกกำลังสอง บุคคลที่มีดัชนีมวลกายเกิน 30 กิโลกรัมต่อตารางเมตร สื่อถึงภาวะน้ำหนักเกินที่ส่งผลกระทบถึงสุขภาพ

เมื่อร่างกายมีไขมันส่วนเกินเพิ่มขึ้น เซลล์ไขมันก็จะมีจำนวนมากขึ้นและขนาดใหญ่ขึ้นตามมา เกิดการรวมตัวอย่างหนาแน่นตามบริเวณต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น บริเวณหน้าท้อง ต้นขา หรือท้องแขน เป็นต้น ทำให้รูปร่างเกิดการเปลี่ยนแปลงไปจนทำให้หลาย ๆ คนต้องกลับมาตั้งคำถามว่า จะมีวิธีไหนบ้างที่ช่วยแก้ปัญหาหรือเป็นทางเลือกสำหรับ “การลดไขมัน” ที่รวดเร็ว ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ  

ดังนั้น หากรู้สึกว่าเรามีไขมันสะสมเกินความจำเป็นของร่างกาย และอยากดูแลรูปร่างของตนเองให้ดูดี มีหุ่นที่สวย สุขภาพดีอยู่เสมอ ต้องเริ่มจากเคล็ดไม่ลับ 9+1 ข้อ

ดังต่อไปนี้

วิธีลดไขมัน
  1. หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำอัดลม ดื่มได้เฉพาะน้ำอัดลมที่ใส่น้ำตาลเทียม 

เช่น เป็ปซี่แม็กซ์ ไดเอทโค้ก 

 

  1. หลีกเลี่ยงน้ำหวาน โอเลี้ยง นมเปรี้ยว และนมที่ปรุงแต่งรสต่าง ๆ ในส่วนของการดื่มชาหรือกาแฟ ไม่ควรใส่น้ำตาล ครีมเทียม หรือนมข้นหวาน ให้ใส่นมพร่องมันเนย หรือน้ำตาลเทียมแทน รวมไปถึงหากต้องการดื่มนม ควรเลือกนมที่มีไขมันต่ำหรือพร่องมันเนย 

 

  1. หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ เช่น เบียร์ ไวน์ หรือวิสกี้ เนื่องจากมีปริมาณแคลอรี่สูง

 

  1. หลีกเลี่ยงอาหารประเภทผัด และทอดทุกชนิด ถ้าจำเป็นควรเลือกใช้น้ำมันพืช

แนะนำรับประทานอาหารประเภทต้ม, ตุ๋น, นึ่ง, ย่าง, อบ หลีกเลี่ยงอาหารที่มัน ๆ เช่น แกงกะทิ 

 

  1. หลีกเลี่ยงรับประทานประเภทข้าวขัดขาว ข้าวสวย ควรทานข้าวไม่ขัดขาว เช่น ข้าวกล้อง ข้าวไรซ์เบอร์รี่ ข้าวสีนิล เป็นต้น และงดอาหารประเภทแป้ง เช่น ขนมปัง หรือก๋วยเตี๋ยวในปริมาณที่มากเกินไป

 

  1. ควรรับประทานผัก ผลไม้ และดื่มน้ำเปล่า ในปริมาณมากขึ้นในแต่ละมื้อ เช่น ฝรั่ง ส้ม  กล้วย  แอปเปิ้ล ไม่ควรรับประทานผลไม้ที่มีรสหวานจัด เช่น ทุเรียน ลำไย ผลไม้เชื่อม และผลไม้แห้งทุกชนิด

 

  1. หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูง หรือมีไขมันอิ่มตัวสูง เช่น เนื้อมะพร้าว ลดการกินไขมันจากสัตว์ทุกชนิด เนื้อสัตว์ที่ติดมัน หมูสามชั้น ไส้กรอก รวมไปถึงเครื่องใน ไข่แดง ไข่ปลา และอาหารทะเลบางชนิด เช่น กุ้ง หอย ปู ปลาหมึก ควรเน้นรับประทานเป็นปลา หรือเนื้อหมู, ไก่ หรือวัวที่ไม่ติดมัน

 

  1. งดรับประทานขนมกินเล่น อาหารที่ใส่กะทิหรือน้ำตาลมาก ๆ เช่น ขนมฝอยทองทองหยิบ  ทองหยอด ขนมเค้ก ช็อกโกแล็ต ไอศกรีม คุกกี้ แครกเกอร์ สังขยา เป็นต้น รวมทั้งการทานของจุบจิบระหว่างวัน

 

  1. ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ระยะเวลาติดต่อกัน (วันละ 30-40 นาที) 

อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง โดยเป็นการออกกำลังกายที่ทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น   และหายใจเร็วขึ้น (Aerobic exercise) เช่น การวิ่ง เดินเร็ว ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ

เล่นเทนนิส แบดมินตัน หรือเตะฟุตบอล ที่สำคัญการที่จะลดไขมันลงได้ พลังงานที่ใช้ต้องมากกว่าพลังงานที่ได้รับ หากไม่สามารถควบคุมปริมาณอาหารได้ ก็ต้องออกกำลังกายให้มากขึ้น แต่หากออกกำลังกายได้น้อย จึงจำเป็นต้องควบคุมพลังงานที่ได้รับจากอาหาร ก็จะสามารถควบคุมเรื่องของปริมาณไขมันส่วนเกินได้

นอกจาก 9 วิธีการลดไขมัน ที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น ก็ยังมีอีก 1 ทางเลือกที่น่าสนใจ ซึ่งตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ในยุคแห่งความเร่งรีบนี้ได้อย่างดีเยี่ยม นั่นคือวิธีลดไขมันด้วย SculpSure – เลเซอร์กำจัดไขมันถาวร ภายใน 25 นาที

 

เทคโนโลยี SculpSure เป็นที่นิยมอย่างมากในวงการสุขภาพและความงาม ตัวเครื่องเป็น Adsvanced Laser 1060 นาโนเมตร สามารถปล่อยพลังงานความร้อน 42-47C ทำให้เซลล์ไขมันเกิดภาวะช็อกแล้วตายไป และร่างกายจะค่อย ๆ กำจัดไขมันออกตามกระบวนการธรรมชาติของร่างกาย ผิวบริเวณที่ทำจะไม่มีรอยหรือบาดเจ็บใด ๆ สัดส่วนบริเวณนั้นก็จะ Fit & Firm ขึ้นอีกด้วย ทั้งยังเป็นทรีทเมนต์ที่รวดเร็ว ใช้เวลาสั้นเพียง 25 นาที คนไข้ไม่จำเป็นต้องฟักฟื้น หลังทำสามารถกลับบ้านหรือไปทำงานได้ตามปกติ 

เรียกได้ว่า SculpSure เป็นเทคโนโลยีที่ทันสมัยตอบโจทย์สำหรับคนรักในการดูแลรูปร่างและต้องการลดไขมันส่วนเกินที่กำจัดยากได้อย่างลงตัว

Venus Viva MD

10 ข้อควรรู้เกี่ยวกับ Venus Viva™ MD

การทำ Skin resurfacing เป็นหนึ่งทางเลือกที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในคลินิกความงามทั้งในและต่างประเทศ ในด้านการรักษาปัญหาต่างๆ ทั้งริ้วรอยร่องลึก ริ้วรอยร่องตื้น รอยแผลเป็นจากสิว รอยแตกลาย รูขุมขนกว้าง สีผิวไม่สม่ำเสมอและปัญหาผิวอื่นๆ


แม้ว่าอาจจะมีเทคโนโลยรอื่นๆ ให้เลือกอีกมากมาย แต่เทคโนโลยีที่ได้รับความนิยมสำหรับผู้เชี่ยวชาญในทุกวันนี้ คือ NanoFractional™ Radio Frequency ซึ่งเป็นเทคโนโลยีในรูปแบบ Fractional Ablative ที่ได้รับการพัฒนามาให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ร่วมกับความปลอดภัยสำหรับทุกสภาพผิว


Venus Viva™ MD เป็นเทคโนโลยีเพื่อการดูแลผิว โดยอาศัยการทำงานร่วมกันของ เทคโนโลยี NanoFractional™ Radio Frequency (RF) และเทคโนโลยี SmartScan™ ในการส่งพลังงานลงสู่ชั้นผิว ทำให้เนื้อเยื่อผิวเกิดเป็นบาดแผลสลับกับเนื้อเยื่อปกติ (fractional resurfacing system) เพื่อให้เกิดการผลัดเซลล์ผิวและฟื้นฟูผิวบริเวณนั้นๆ โดยสามารถปรับเปลี่ยนพลังงานในการรักษาได้หลากหลาย ตามปัญหาผิวของแต่ละบุคคล ให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และมีระยะการพักฟื้นที่สั้น ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้ทำให้ Venus Viva™ MD จึงเป็นอีกเทคโนโลยีที่เหมาะสำหรับแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังที่กำลังมองหาอุปกรณ์เพื่อการฟื้นฟูผิวที่เต็มเปี่ยมด้วยประสิทธิภาพและตอบโจทย์ต่อคนไข้ค่ะ


โดยในบทความนี้เราได้รวบรวม 10 ข้อควรรู้ เกี่ยวกับ Venus Viva™ MD มาฝากกันค่ะ  

1. It’s Highly Customizable

Venus Viva™ MD สามารถปรับรูปแบบการรักษาได้ทั้งด้านพลังงาน และ Pulse Duration เพื่อควบคุมการส่งพลังงาน NanoFractional Radio Frequency ให้เหมาะสมกับแต่ละปัญหาผิว เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดร่วมกับความสบายผิวของคนไข้ที่เข้ารับการรักษา

Venus Viva MD

2. The Technology is Revolutionary

Venus Viva™ MD ได้มีการพัฒนา NanoFractional RF™ applicator ให้มีความหลากหลายยิ่งขึ้น ด้วยหัวทิป 2 รูปแบบ ที่มีความเข้มและความหนาแน่นของพลังงานที่แตกต่างกัน เพื่อเสริมการรักษาปัญหาผิวต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น ทั้งนี้ในแอพพลิเคเตอร์ของ Venus Viva™ MD ยังมาพร้อมกับเทคโนโลยี SmartScan™ ที่เป็นลิขสิทธิ์เฉพาะของทางแบรนด์ เพื่อช่วยให้พลังงานสามารถลงสู่ชั้นผิวได้ดีและหลากหลายมากขึ้น

Venus Viva MD

3. Safe for All Skin Types*

การรักษาด้วย Venus Viva™ MD มีความปลอดภัยและผลข้างเคียงที่ต่ำกว่าเทคโนโลยีอื่นๆ ทั้งช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดรอยดำหลังการอักเสบ (PIH) ซึ่งเป็นข้อกังวลใจในการทำ Skin resurfacing สำหรับผู้ที่มี Fitzpatrick Skin types IV-VI

4. Perform Treatments with Low Downtime

ด้วยความพิเศษในการทำงานร่วมกันของ NanoFractional RF™ และเทคโนโลยี SmartScan™ ในการส่งพลังงานผ่านพินขนาดเล็ก ซึ่งพินเหล่านี้จะทำให้เนื้อเยื่อผิวเกิดเป็นบาดแผลขนาดเล็ก (micro-dermal wounds) สลับกับเนื้อเยื่อผิวที่ดี เพื่อช่วยให้กระบวนการฟื้นฟูผิวเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว

5. It Has a Unique Applicator

Venus Viva™ MD applicator ผ่านการออกแบบมาอย่างพิถีพิถันเพื่อสะดวกต่อทั้งผู้ให้บริการและผู้รับการรักษา และด้วยหัวทิปที่สามารถเลือกใช้ได้ 2 รูปแบบ เพื่อเพิ่มทางเลือกในการรักษาให้หลากหลายและตรงจุดมากยิ่งขึ้น

6. Patented Tip Technology

Venus Viva™ MD applicator เป็นเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยและเต็มเปี่ยมด้วยประสิทธิภาพ โดยสามารถส่งพลังงานได้สูงสุด 700 พัลส์ พลังงานลงได้ลึกถึง 800 µm นอกจากนี้ยังครอบคลุมพื้นที่การรักษาได้มากขึ้นเพื่อร่นระยะเวลาในการรักษาให้สั้นลง

Venus Viva MD

7. Choice of Two Tips

Venus Viva™ MD มาพร้อมกับหัวทิป 2 รูปแบบ ทั้งชนิด 160 พิน ที่สามารถส่งได้ 62 mJ/pin เพื่อฟื้นฟูปัญหาผิวต่างๆ รวมถึงลดเลือนริ้วรอย รูขุมขนที่กว้าง รวมถึงรอยแตกลาย และหัวทิปชนิด 80 พินที่ส่งพลังงานได้ถึง 124 mJ/pin โดยความสามารถในการส่งพลังงานลงสู่ผิวได้ลึกยิ่งขึ้น จึงตอบโจทย์สำหรับการรักษาปัญหาผิวที่ค่อนข้างรุนแรง ทั้งปัญหาริ้วรอยลึกและหลุมสิวประเภทต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

Venus Viva MD

8. Enhanced with SmartScan™ Technology

SmartScan™ เป็นเทคโนโลยีลิขสิทธิ์ของ Venus Viva เพื่อส่งและกระจายพลังงานลงสู่เนื้อเยื่อผิวได้อย่างเหมาะสมและทั่วถึงในรูปแบบสุ่ม (random) ผ่านอัลกอริทึมเฉพาะตัว เพื่อเพิ่มผลลัพธ์ที่และความสบายผิวของคนไข้มากยิ่งขึ้น

Venus Viva MD

9. Equipped with DiamondPolar™ Applicator

DiamondPolar™ applicator เป็นการรวมกันของคลื่นความถี่วิทยุหลายขั้ว (RF) และคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (PEMF) หรือที่เรารู้จักกันดีในรูปแบบของเทคโนโลยี (MP)2 ของ Venus Concept ด้วยการจัดวางตัวอิเล็กโทรดอย่างเป็นเอกลักษณ์ ทำให้สามารถทำการรักษาได้หลากหลาย ทั้งบริเวณใบหน้า รอบดวงตา คอ รวมถึงบริเวณต่างๆ ที่เข้าถึงยาก

Venus Viva MD

10. It’s Supported by Venus Concept’s Unique Business Model

ด้วยการสนับสนุนจาก Venus Concept ทั้งด้านการตลาด การฝึกอบรมจากผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงการให้คำปรึกษาในการซ่อมบำรุง และอุปกรณ์ที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อง่ายต่อการใช้งานและปรับเปลี่ยนได้ตามแต่ละปัญหาผิว เพื่อความพึงพอใจสูงสุดของคนไข้ ทำให้ลูกค้าสามารถไว้วางใจถึงประสิทธิภาพของตัวเครื่อง รวมถึงผลตอบแทนจากการลงทุนคุ้มค่า

* Venus Viva™ MD ได้รับการรับรองจาก US.FDA , ใบอนุญาตจาก Health Canada และ CE Mark  สำหรับการรักษาทางผิวหนังที่ก่อให้เกิดกระบวนการ Ablation และการผลัดเซลล์ผิวด้วยการใช้แอพพลิเคเตอร์ Viva™ และ Viva™ MD และการใช้แอพพลิเคเตอร์ DiamondPolar™ เพื่อลดเลือนริ้วรอยต่างๆ บนใบหน้า ในรูปแบบของ Non-Invasive Treatment สำหรับผู้หญิงในประเภทผิว Fitzpatrick I-IV ด้วยแอพพลิเคชั่น


ทั้งหมดนี้เป็น 10 ข้อควรรู้เกี่ยวกับ Venus Viva™ MD เทคโนโลยีเพื่อการฟื้นฟูผิวหน้าแนวใหม่ ที่ได้มีการพัฒนาและปรับปรุงประสิทธิภาพให้ตอบโจทย์กับปัญหาผิวและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น เพื่อผลลัพธ์ที่ดีและความพึงพอใจสูงสุดของคนไข้ ที่เรานำมาฝากกันนะคะ

Reference : https://bit.ly/3uovHG9

ดูดไขมันที่ไหนดี

รวมคลินิกดูดไขมันด้วย body-jet

เมื่อโลกก้าวเข้าสู่ยุค New Normal ที่คนส่วนใหญ่ต้องกักตัวอยู่บ้านเพื่อ Work From Home ทำให้คนบางกลุ่มมีปัญหาน้ำหนักขึ้นจนส่งผลกระทบต่อหน้าที่การงานของตน เช่น อาชีพนางแบบ นายแบบ นักแสดง รวมถึงคนในวงการบันเทิง ด้วยเหตุนี้กระแสเทรนด์ความงามที่มาแรงเป็นอันดับต้นๆ ในยุค New Normal จึงหนีไม่พ้นการดูแลรูปร่างให้เฟิร์ม กระชับ กลับมามีส่วนโค้งส่วนเว้าที่สวยงามดังเดิมค่ะ

 

 

การดูดไขมัน เป็นอีกหนึ่งทางเลือกยอดนิยมของผู้ที่ต้องการมีรูปร่างที่สวยงาม ด้วยความที่สามารถเห็นผลลัพธ์ที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างชัดเจนหลังการทำทันที อีกทั้งใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมงก็ได้สัดส่วนที่สวยงามแล้ว ทำให้การดูดไขมันเป็นที่นิยมอย่างรวดเร็วในวงการความสวยความงาม

 

 

แต่ในช่วงที่มีข่าวการเสียชีวิตของผู้ที่เข้ารับการดูดไขมัน ก็ทำให้หลายๆ คนที่ตั้งใจจะดูดไขมัน เกิดความวิตกกังวล และเริ่มมีข้อสงสัยเกี่ยวกับความปลอดภัยของการดูดไขมัน รวมทั้งมีคอนเทนต์มากมายใน Social Network ที่มีการแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นในเรื่องดังกล่าวอย่างจริงจัง ทั้งจริงบ้าง เท็จบ้าง ปะปนกันไปจนคนเริ่มสับสน และในบทความนี้เราจะพาทุกๆ คนมาไขข้อสงสัยให้เข้าใจ และรู้จักกับการดูดไขมันมากขึ้นค่ะ ที่สำคัญเรามีคลินิกดูดไขมันยอดนิยมอันดับต้นๆ ของประเทศไทยมาแนะนำกันด้วยค่ะ

ดูดไขมัน

(จำลองตัวอย่างการดูดไขมันด้วย body-jet)

 

การดูดไขมัน (Liposuction) เป็นหนึ่งในรูปแบบของศัลยกรรมทางการแพทย์ โดยอาศัยเทคโนโลยีต่างๆ เพื่อช่วยในการแยกเซลล์ไขมัน และดูดออกจากร่างกาย ซึ่งเป็นการดูดไขมันส่วนเกินบริเวณใต้ชั้นผิวหนังออกไปได้อย่างเฉพาะจุด เพื่อสัดส่วนที่เล็กลงและสมส่วนยิ่งขึ้น การดูดไขมันในปัจจุบัน ได้พัฒนามาอย่างหลากหลาย โดยเริ่มจากการดูดไขมันแบบดั้งเดิม (Conventional Liposuction) โดยใช้แรงมือ ไปจนถึงการใช้เทคโนโลยีต่างๆ เช่น การใช้คลื่นวิทยุ คลื่นอัลตราซาวน์ การใช้เลเซอร์ รวมถึงการใช้พลังน้ำเพื่อช่วยในการสลายไขมันออกจากผังผืดก่อนดูดออกจากร่างกาย ซึ่งมีความอ่อนโยนและยังนำไขมันที่ดูดออกมาแล้วเติมกลับเข้าส่วนอื่นที่ต้องการได้อีกด้วย

คำถามยอดฮิตในช่วงที่ผ่านมา หลังจากมีข่าวเหตุการณ์การเสียชีวิตของผู้ที่ดูดไขมัน ทำให้หลายคนเกิดความสับสน และลังเลถึงความปลอดภัยในนวัตกรรมนี้ ซึ่งตามหลักการแล้ว การดูดไขมันมีความปลอดภัย และไม่ก่อให้เกิดการเสียชีวิต หากทุกขั้นตอนอยู่ภายใต้สถานพยาบาลที่ถูกต้องตามกฏหมาย ห้องผ่าตัด และอุปกรณ์ต่างๆ สะอาด ปลอดเชื้อ รวมถึงอยู่ในการดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูดไขมันโดยเฉพาะ อีกทั้งด้วยการพัฒนาทางด้านการแพทย์ทำให้ การดูดไขมันในปัจจุบัน สามารถทำได้รวดเร็วขึ้น อ่อนโยนมากขึ้น และบางนวัตกรรมไม่จำเป็นต้องมีการใช้ยาสลบก่อนดูดไขมันอีกด้วย เป็นเพียงการใช้ยาชาเฉพาะจุดเท่านั้น ซึ่งคนไข้จะรู้สึกตัวตลอดระยะเวลาการรักษา และช่วยลดความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ ทั้งนี้สุขภาพ และการเตรียมตัวก่อนดูดไขมันของคนไข้ ก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกันนะคะ โดยในขั้นตอนการปรึกษากับคุณหมอ คนไข้ควรบอกข้อมูลต่างๆ อย่างครบถ้วนตามความเป็นจริง ทั้งเรื่องของสุขภาพ การรับประทานยาหรือวิตามินต่างๆ รวมถึงอาการแพ้ของคนไข้อย่างละเอียด เพื่อที่แพทย์จะได้วางแผนประเมินการรักษาที่เหมาะสมเพื่อความปลอดภัยอย่างสูงสุดต่อคนไข้ค่ะ

โดยปกติก่อนเริ่มดูดไขมันจะมีการใช้ยาชาเฉพาะที่ หรือในบางคลินิกจะมีการใช้ยาสลบ ซึ่งคนไข้จะรู้สึกเจ็บเหมือนมดกัดในขั้นตอนของการฉีดยาชาเท่านั้น ส่วนในระหว่างการดูดไขมันอาจมีอาการตึงๆ ในบางจังหวะที่แพทย์เคลื่อนมือเท่านั้น หรือในบางคนจะไม่รู้สึกถึงความเจ็บเลย

ความจริงแล้วการดูดไขมันเป็นตัวเลือกที่เหมาะสำหรับทุกคน ทั้งหญิงและชายที่ต้องการเพิ่มความมั่นใจในรูปร่าง รวมถึงกลุ่มคนที่พยายามควบคุมอาหารและออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องแล้ว แต่ยังคงมีไขมันส่วนเกินสะสมอยู่ การดูดไขมันช่วยแก้ปัญหานี้ได้ตรงดี

 

สำหรับปริมาณของไขมันที่สามารถดูดออกมาได้มากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งรูปร่าง บริเวณการรักษา รวมถึงความพึงพอใจของคนไข้ โดยแพทย์ผู้ทำการรักษาจะประเมินและออกแบบการดูดไขมันให้เหมาะสมกับคนไข้ที่สุดค่ะ

เนื่องจากการดูดไขมัน ถือเป็นการผ่าตัดใหญ่รูปแบบหนึ่ง การศึกษาหาข้อมูลประกอบการตัดสินใจให้มากเพียงพอและการเตรียมตัวให้พร้อม ทั้งก่อนและหลังดูดไขมันล้วนเป็นสิ่งสำคัญที่มองข้ามไม่ได้เลย ดังนั้นเพื่อเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่กำลังเตรียมตัวเข้ารับการดูดไขมัน เรามาทำความรู้จัก 4 ขั้นตอนตั้งแต่เริ่มต้นจนจบกระบวนการดูดไขมันกันค่ะ


STEP 1 : เข้าปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่คลินิกหรือโรงพยาบาล

  • เริ่มจากการกรอกข้อมูลต่างๆ รวมถึงโรคประจำตัว การแพ้อาหารหรือยาต่างๆ ตามความเป็นจริง
  • ชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูงและสัดส่วน เพื่อให้แพทย์ประเมินรูปร่าง
  • พูดคุยและปรึกษาถึงความต้องการต่างๆ เพื่อให้แพทย์แนะนำการรักษาที่เหมาะสมของแต่ละคน
  • นัดวันเข้ารับการผ่าตัด

STEP 2 : การเตรียมพร้อมก่อนวันดูดไขมัน

  • ตรวจร่างกายตามคำแนะนำของแพทย์
  • งดรับประทานยาหรือวิตามิน อย่างน้อย 2 สัปดาห์ หรือตามดุลยพินิจของแพทย์
  • ควรพักผ่อนให้เพียงพอ
  • งดรับประทานอาหารและน้ำ 6-8 ชั่วโมง

 STEP 3 : ขั้นตอนในการดูดไขมัน

  • เซ็นต์เอกสารยินยอมให้ทำการรักษา
  • บันทึกภาพและวัดสัดส่วนก่อนการรักษา เพื่อเปรียบเทียบกับผลลัพธ์หลังการรักษา
  • ทางแพทย์จะทำการมาร์กตำแหน่งต่างๆ ที่จะทำการรักษา
  • รับยาฆ่าเชื้อ และเข้าห้องผ่าตัด
  • ทำการขัดผิวด้วยยาฆ่าเชื้อเพื่อทำความสะอาดร่างกายก่อนผ่าตัด
  • แพทย์จะมีการฉีดยาชาเพื่อเปิดแผลผ่าตัด และเริ่มขั้นตอนการดูดไขมัน
  • หลังเสร็จขั้นตอนการดูดไขมัน ทางแพทย์จะอธิบายขั้นตอนต่างๆ รวมทั้งวิธีการดูแลตัวเอง จากนั้นคนไข้สามารถกลับบ้านได้เลย (ควรมีญาติหรือคนรู้จักเดินทางมารับ)

STEP 4 : การดูแลตัวเองหลังดูดไขมัน

  • ควรรับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด
  • หลังดูดไขมัน อาจมีอาการปวดระบม 1-2 วัน แต่สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ
  • ช่วง 3 วันแรกหลังจากการดูดไขมัน อาจมีน้ำซึมออกจากบาดแผลได้เป็นปกติ และคนไข้ควรเปลี่ยนผ้าปิดแผลอย่างน้อยวันละ 1-2 ครั้ง
  • หลีกเลี่ยงให้แผลโดนน้ำเวลา 1 สัปดาห์ เนื่องจากอาจทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย
  • หลังจากดูดไขมัน 1 สัปดาห์ แพทย์จะมีการนัดเข้ามาเพื่อติดตามผลและตัดไหมเย็บแผล
  • ใส่ชุด Support รัดในตำแหน่งที่ดูดไขมัน ตลอดเวลายกเว้นช่วงเวลานอน และใส่เป็นเวลาอย่างน้อย 2 เดือนเพื่อรักษาสัดส่วนในคงรูปที่สุด
ทั้งหมดนี้เป็นขั้นตอนตั้งแต่เริ่มต้นจนจบกระบวนการดูดไขมันในลักษณะการดูดแล้วทิ้งไปเท่านั้นนะคะ ซึ่งหากเป็นการดูดไขมันในลักษณะที่มีการเติมกลับเข้าสู่ร่างกาย (Fat Transfer) จะมีขั้นตอนในการดูแลตัวเองเพิ่มมากขึ้น ซึ่งหลักๆ แล้วจะแนะนำให้มีการหลีกเลี่ยงการกด บีด รัด หรือนวด ในบริเวณที่ทำการเติมไขมันกลับเข้าไป และไม่ควรทำกิจกรรมต่างๆ ที่เน้นการออกแรงหนักๆ เพื่อป้องกันการกระทบกระเทือน และลดอัตราการรอดของเซลล์ไขมันที่เติมกลับเข้าไปค่ะ

การดูดไขมัน เป็นเทคโนโลยีทางลัดเพื่อช่วยให้เรามีรูปร่างที่เรียวเล็ก มีส่วนโค้งส่วนเว้าที่ชัดเจนยิ่งขึ้น และไม่ใช่การลดน้ำหนัก โดยข้อดีของการดูดไขมัน คือ สามารถเลือกดูดไขมันส่วนเกินออกได้อย่างเฉพาะจุด รวมถึงสามารถดูดไขมันออกได้ทุกประเภท ทั้งชนิดที่เป็นไขมันปกติ และไขมันดื้อด้านที่กำจัดยากซึ่งการออกกำลังกายไม่สามารถกำจัดออกได้ อีกทั้งไขมันที่ได้ออกมายังสามารถนำมาใช้ประโยชน์ต่อได้ เช่น นำกลับมาเติมเต็มใบหน้า หน้าอก ก้น เป็นต้น

 

ข้อจำกัดของการดูดไขมันก็มีเช่นกัน คือ จำเป็นที่จะต้องมีการเปิดแผลซึ่งอาจก่อให้เกิดรอยแผลเป็นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในช่วงแรกอาจมีน้ำปนเลือดซึมออกมาจากบาดแผลร่วมกับมีอาการเจ็บตึงแผล และมีอาการช้ำในระยะเวลาหนึ่ง หรือในบางคนอาจมีผิวหนังเป็นคลื่นเกิดขึ้นได้ซึ่งขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละคน รวมถึงการดูแลตัวเองหลังดูดไขมันด้วยค่ะ 

อย่างไรก็ตาม ณ ปัจจุบันนี้ ได้มีเทคโนโลยีความงามมากมายมาลดข้อจำกัดต่างๆ ได้อย่างสมบูรณ์แบบ เช่น ในกรณีที่มีปัญหาผิวเป็นคลื่น ไม่กระชับหลังดูดไขมัน แพทย์จะนัดคนไข้เข้ามาปรับรูปร่างอีกครั้งด้วยการใช้นวัตกรรมในกลุ่มคลื่นวิทยุ (RF) ที่ช่วยให้ผิวบริเวณที่เป็นคลื่นนั้น ค่อยๆ เรียบเนียนและตึงกระชับยิ่งขึ้นเพื่อรูปร่างที่เข้ารูป ดูสวยงามอย่างเป็นธรรมชาติยิ่งขึ้นค่ะ

ดูดไขมัน

การดูดไขมันสามารถทำได้ในทุกส่วนของร่างกายที่มีไขมันส่วนเกินมากเพียงพอ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีและดุลพินิจของแพทย์ผู้รักษาด้วยนะคะ โดยบริเวณที่คนส่วนใหญ่นิยมดูดไขมัน ได้แก่

  • หน้าท้อง
  • ต้นแขน
  • ต้นขา
  • หน้าอก
  • สะโพก
  • หลัง
  • ก้น

และยังมีบริเวณอื่นๆ อีก เช่น ไขมันใต้คาง, ต้นคอ, กระพุ้งแก้ม รวมถึงหัวเข่า

“ใครที่อ่านมาถึงตรงนี้ เชื่อแล้วว่าคุณสนใจดูดไขมันจริงๆ หากคุณกำลังมองหาคลินิกดูดไขมันอยู่ แต่ไม่รู้จะเลือกดูดไขมันที่ไหนดี มีที่ไหนปลอดภัยบ้าง ไม่ต้องกังวลไปค่ะ บริษัทเทคนิคอลไบโอเมด ในฐานะผู้นำเข้านวัตกรรมเครื่องมือแพทย์เสริมความงามมาตรฐาน Gold Standard ได้รับรอง THAI&U.S.FDA เราได้รวบรวมคลินิกดูดไขมันที่เชื่อถือได้มาแนะนำค่ะ โดยมีเกณฑ์คัดเลือกดังนี้”

  • แพทย์มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านการดูดไขมัน

  • แพทย์มีประสบการณ์ดูดไขมันสูง วัดจากจำนวนเคส และยอดรีวิวจากคนไข้จำนวนมาก

  • คลินิกหรือโรงพยาบาลนั้นเลือกใช้เครื่องดูดไขมัน body-jet ที่เป็นนวัตกรรมดูดไขมันด้วยพลังน้ำ ซึ่งเป็นที่นิยมในวงการศัลยแพทย์เพราะมีความอ่อนโยนต่อคนไข้ และปลอดภัยสูง ไม่จำเป็นต้องวางยาสลบคนไข้ อุปกรณ์ออกแบบมาเป็น Sigle Use ใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้งจึงลดโอกาสในการติดเชื้อ อีกทั้งเครื่องมีมาตรฐาน Gold Standard ได้รับรอง THAI & U.S.FDA

  • คลินิกหรือโรงพยาบาลนั้นมีห้อง Operation สะอาด ปลอดเชื้อ

  • บริการหลังการดูดไขมันเป็นที่น่าประทับใจ มีการบอกต่อจากคนไข้

รวมคลินิกดูดไขมันด้วย body-jet

ดาวน์โหลด Checklist ก่อนดูดไขมัน

Send download link to:

ศูนย์ดูดไขมัน เติมไขมัน กระชับสัดส่วนเฉพาะทางที่เน้นความปลอดภัยและคุณภาพเป็นหลัก นำทีมโดยคุณหมอไอซ์และคุณหมอมะปราง แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่พร้อมเลือกสรรสิ่งที่ทันสมัยและได้มาตรฐานสูงสุด ดูแลคนไข้ในทุกขั้นตอนอย่างใกล้ชิดตั้งแต่เริ่มต้นให้คำปรึกษา จนถึงการดูแลติดตามผลหลังเพื่อผลลัพธ์ของคนไข้ที่ดีที่สุดค่ะ หากใครสนใจดูดไขมันที่ Amara Clinic ทั้ง 2 สาขา

1. สาขา รัชโยธิน (ใกล้เมเจอร์รัชโยธิน)

เบอร์ติดต่อ : 062-946-2397

2. สาขา ราชพฤกษ์ (ใกล้ The Crystal SB ราชพฤกษ์)

เบอร์ติดต่อ : 062-556-6623

 

 

หรือศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่

Facebook : https://www.facebook.com/AmaraDoctor

Website : https://www.amara-clinic.com

LINE : @amaraclinic

คลินิกเสริมความงามและศูนย์บริการดูดไขมันด้วย body-Jet มีทีมแพทย์ที่มีประสบการณ์มากกว่าสิบปี นำทีมโดย “คุณหมออ้อย” ผู้มีประสบการณ์ด้านความงามและดูดไขมัน ซึ่งเน้นการออกแบบรูปร่างของคนไข้ให้ดูดี 360 องศา ด้วยความเชื่อที่ว่า “ความสวยไม่ใช่เรื่องเกินเอื้อม และออกแบบได้ด้วยตัวคุณเอง”

หากใครสนใจดูดไขมันที่ YDC You Desire Clinic ทั้ง 2 สาขา

1.สาขา เซ็นทรัลอีสต์วิลล์ เลียบด่วน

เบอร์ติดต่อ : 061-1962-391

2.สาขา แยก ม.เกษตร (คอนโดศุภาลัย ปาร์ค แยกเกษตร)

เบอร์ติดต่อ : 088-1991-626

 

หรือศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่

Facebook : https://www.facebook.com/Youdesireclinic

Website : https://www.youdesireclinic.com

LINE : @youdesireclinic

คลินิกดูแลผิวพรรณ ความงามทั่วเรือนร่าง รวมถึงงานศัลยกรรมและดูดไขมัน ดำเนินการโดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ทั้งในและต่างประเทศ มากกว่า 11 ปี ให้ความสำคัญเรื่องประสิทธิภาพการรักษา และความพึงพอใจของลูกค้า ด้วยเทคโนโลยีทันสมัยระดับโลก บริการที่ปลอดภัยได้มาตรฐาน จึงมั่นใจได้ว่าจะได้รับบริการที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยค่ะ

หากใครสนใจดูดไขมันที่ KPS Clinic

เบอร์ติดต่อ : 097-242-3294

 

หรือศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่

Facebook : https://www.facebook.com/kpsclinicth

Website : https://kpsclinic.com

LINE : @kpsclinic

คลินิกความงามใจกลางเมือง ให้บริการด้านความงาม ปรับรูปหน้า แก้ไขโหงวเฮ้ง และเวชศาสตร์ชะลอวัย รวมถึงดูดไขมันและดูแลสุขภาพแบบครบวงจร นำทีมโดยคุณหมอขนม แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ชะลอวัยจากอเมริกา โดยมีการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการแพทย์ และ ได้คัดสรรเครื่องมือที่ได้มาตรฐาน เพื่อผลลัพธืที่ดีที่สุดสำหรับคนไข้ เรียกได้ว่าดูแลได้ทั้งผิวพรรณความงาม และสุขภาพแบบองค์รวม

หากใครสนใจดูดไขมันที่ Roselin Wellness Center

เบอร์ติดต่อ : 091-010-9379

 

หรือศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่

Facebook : https://www.facebook.com/Roselinwellness

Website : https://rwcclinic.com/

LINE : @roselinwellness

คลินิกด้านความงามและผิวพรรณ รวมถึงการดูดไขมัน ที่ให้ความใส่สำคัญกับการเลือกเทคโนโลยีที่ได้มาตรฐานและการยอมรับจากทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงการบริการ และบรรยากาศที่อบอุ่น ใส่ใจในประสิทธิภาพของการรักษา เพื่อให้คนไข้ได้รับการรักษาที่ดีและเหมาะที่สุดสำหรับแต่ละคน

หากใครสนใจดูดไขมันที่ Sense Skeyn Clinic ทั้ง 2 สาขา

1.สาขาสงขลา

เบอร์ติดต่อ : 074-327-338, 085-671-0008

2.สาขาหาดใหญ่

เบอร์ติดต่อ : 074-230377, 083-193-1117

 

หรือศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่

Facebook : https://www.facebook.com/Senseskeynclinic

Website : https://www.senseskeynclinic.com

LINE : @SENSESKEYNCLINIC

คลินิกที่เน้นให้บริการโปรแกรมการรักษาด้านความงาม ชะลอวัย และศัลยกรรมหลากหลายรวมทั้งดูดไขมัน ให้บริการด้วยความปลอดภัย ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด ด้วยเทคนิคเฉพาะตัวเพื่อแก้ไขจุดบกพร่องของแต่ละบุคคลได้อย่างตรงจุด

หากใครสนใจดูดไขมันที่ Masterwork Clinic (อาคารอโศกทาวเวอร์ ชั้น 1)

เบอร์ติดต่อ : 083-435-6868

 

 

หรือศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่

Facebook : https://www.facebook.com/masterworkclinic

Website : https://masterworkclinic.com/

LINE : @masterworkclinic

สุดท้ายนี้ สำหรับสาวๆ และหนุ่มๆ ที่ต้องการหาทางลัดเพื่อรูปร่างที่ดี โดยไม่ต้องเหนื่อยกับการคุมอาหารและออกกำลังกาย “การดูดไขมัน” ก็คือทางเลือกที่ตรงจุดค่ะ และขอฝากข้อคิดสำคัญเพื่อเตือนใจผู้ที่สนใจในเทคโนโลยีดูดไขมันนี้ว่า “การดูดไขมันเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการผ่าตัด ซึ่งอาจมีความเสี่ยงเกิดขึ้นได้ ดังนั้นจึงควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด มองหาคลินิกที่ได้มาตรฐาน สอบถามและประเมินอัตราค่ารักษาให้สมเหตุสมผล ทั้งนี้คนไข้เองควรมีความพร้อมสำหรับการดูดไขมัน ไม่ปกปิดข้อมูลด้านสุขภาพและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อผลลัพธ์ที่ดีและความปลอดภัยอย่างสูงสุดต่อคนไข้เองนะคะ”

 

ท้ายที่สุดนี้หลังจากเราพึ่งทางลัดในการมีหุ่นสวยแล้ว ควรหมั่นดูแลรูปร่างเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ ควบคู่กับการออกกำลังกาย ที่สำคัญต้องพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อผลลัพธ์หุ่นสวยที่ยั่งยืนนะคะ 

Find a treatment provider nearby you

1. Put your location

2. Choose category

3. Select distance

4. Find treatment providers nearby your location

Radius: KM
Loading...
HOSPITALS & CLINICS: 0 PRINT

Store Direction

Get Your Directions

LOCATE YOUR GEOPOSITION

ชุดว่ายน้ำ

5 Ways to be ซุปตาร์บนชายหาด

ชุดว่ายน้ำ

5 Ways to be ซุปตาร์บนชายหาด

Summer is coming! เมื่อเอ่ยถึงฤดูร้อน หรือช่วง Summer สิ่งที่คนส่วนใหญ่นึกถึงอันดับต้นๆ ก็คือ แสงแดด ทะเล  และชายหาด  นั่นเอง และเมื่อพูดถึงทะเล สาวๆ หลายคน ก็คงเตรียมความพร้อมที่จะใส่บิกินี่สวยๆ เพื่อถ่ายรูปลงโซเชียลมีเดียต่างๆ ส่วนหนุ่มๆ เองก็เตรียมฟิตหุ่นให้พร้อมโชว์กล้ามท้อง ที่สะกดสายตาเช่นกัน

 

แต่…ก็ยังมีหนุ่มๆ สาวๆ จำนวนไม่น้อยที่ชุดพร้อมแล้ว เหลือแต่ความมั่นใจที่ยังไม่พร้อม!! ไม่มั่นใจในรูปร่างบ้าง ผิวพรรณบ้าง ซึ่งในบทความนี้ เราได้รวบรวม 5 เคล็ดลับของเหล่าซุปตาร์ มาแชร์ให้ทุกคนได้เตรียมตัว Go the beach อย่างมั่นใจ ตลอด Summer มาฝากกันค่ะ

ชุดว่ายน้ำ

1. Confident is First!

การใส่บิกินี่ หรือชุดว่ายน้ำรัดรูปใดๆ ก็ตามให้สวยนั้น บางครั้งก็ไม่จำเป็นที่เราจะต้องมีหุ่นที่ดีเหมือนนางแบบเท่านั้นนะคะ เพราะว่าทุกคนล้วน “ดูดี” ในแบบของตัวเอง ขอเพียงแค่เราสร้างความมั่นใจขึ้นมา ปลดปล่อยพลังบวก และเผยรอยยิ้มอย่างเป็นมิตรออกมาสู่ทุกคน เสน่ห์ของคุณก็จะเฉิดฉายออกมาด้วยเช่นกัน รับรองได้เลย ใครอยู่ใกล้ต้องหลงเสน่ห์ของคุณแน่ๆ

ชุดว่ายน้ำ

2. เลือกชุดให้เหมาะกับรูปร่าง

การรู้จักรูปร่างของตัวเองเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเลือกชุดว่ายน้ำรวมถึงชุดอื่นๆ เพื่อเสริมจุดเด่นและพลางจุดด้อย ให้เรามีบุคลิกภาพที่ดียิ่งขึ้นได้ รวมทั้งอาจหา Accessories สวยๆ หรือผ้าคลุม เก๋ๆ ซักผืนมาใส่เพื่อพรางตัว และเพิ่มความสดใสให้ตัวเองก็ได้เช่นกันค่ะ หรือหากคุณมีเวลาเตรียมตัวมากขึ้นอีกนิดนึง การเลือกใช้เทคโนโลยีสลายไขมันก็เป็นที่นิยมมากเช่นกัน เพราะเปรียบเสมือนการซื้อเวลาให้หุ่นสวยเข้ารูปได้แบบเร่งด่วนค่ะ

ชุดว่ายน้ำ

3. ดูแลผิวอย่างจัดเต็ม

ก่อนจะถึงวันใส่บิกินี่ อย่าลืมเตรียมผิวให้พร้อมด้วยนะคะ ซึ่งจริงๆ แล้วการมีผิวที่สวยสะกดสายตา ไม่จำเป็นต้องผิวขาวเสมอไป เราสามารถเป็นคนผิวสีแทน สีน้ำผึ้งที่สีผิวเสม่ำเสมอ เกลี้ยงเกลา ดูสุขภาพดีได้เช่นกันค่ะ โดยทางลัดไปสู่ผิวสวยระดับซุปตาร์ สมัยนี้ก็มีหลายวิธีเลยค่ะ ไม่ว่าจะเป็นการขัดผิว มาส์กหน้า เติมวิตามิน การทำเลเซอร์ผิวใส เป็นต้น เพราะเมื่อผิวของเราพร้อม ก็ยิ่งเพิ่มความมั่นใจ และทำให้เราใส่บิกินี่ได้สวยยิ่งขึ้นไปอีก ส่วนสาวๆ คนไหนที่เข้าคลินิกหรือสปาบำรุงผิวอยู่แล้ว ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้เลยนะคะ

งดโซเดียม ลดน้ำหนัก

4. ลดเค็ม … ลดบวม

สาวบางคนที่รู้สึกว่าตัวเองอ้วน แต่แท้จริงแล้ว เป็นอาการบวมน้ำ ที่เกิดจากการทานอาหารรสเค็มจัด โดยตัวการหลักนั้น คือ เจ้าโซเดียม ซึ่งจะอมน้ำที่อยู่ในร่างกายเรา จนทำให้เกิดอาการบวมทั้งหน้าและตัว ดังนั้นก่อนมีแพลนจะโชว์หุ่นสวยในชุดบิกินี่ เราควรใส่ใจการทานอาหารด้วยนะคะ ถ้าจะให้ดีไปกว่านั้น หาเวลาออกกำลังกายร่วมด้วยนะจ๊ะ

กำจัดขนถาวร

5. ผิวเรียบเนียนไร้ขนกวนใจ

แน่นอนว่า เมื่อต้องใส่ชุดว่ายน้ำ เราคงไม่อยากให้มีเจ้าขนที่ไม่พึงประสงค์ หลุดรอดออกมากวนใจของเรา ดังนั้นการเตรียมตัวก่อนใส่บิกินี่อีกอย่างที่สำคัญ คือการกำจัดขนนั่นเอง ซึ่งในปัจจุบันมีหลายวิธีให้เราเลือกสรร ทั้งการใช้ครีมกำจัดขน การโกน ถอน หรือแว็กซ์ แต่หากใครที่กลัวเจ็บ สมัยนี้ก็มีนวัตกรรมทางการแพทย์ที่คิดค้นการกำจัดขนมาเพื่อคุณ ทั้งที่เป็นชนิด Diode Laser หรือ YAG ที่สามารถกำจัดขนได้อย่างอ่อนโยน และลดการเกิดใหม่ของขนอีกด้วยค่ะ

SculpSure®

The SculpSure device provides WarmSculpting™ treatments for non-invasive body contouring that permanently reduces stubborn fat without surgery or downtime.

Venus Legacy™

The highly advanced non-invasive medical device that effectively resolves challenging face and body aesthetic needs, such as non-surgical circumferential reduction, cellulite reduction, skin tightening, and wrinkle reduction.

กำจัดขน

ขนเจ้าปัญหา กับวิธีกำจัดออกรูปแบบต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพ

กำจัดขน

ขนเจ้าปัญหา กับวิธีกำจัดออกรูปแบบต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพ

การมีผิวสวย ไม่ใช่แค่การมีผิวขาวกระจ่างใส แต่รวมถึงการมีผิวที่เรียบเนียน ปราศจากริ้วรอย หรือเม็ดสีกระดำกระด่าง และอีกหนึ่งเรื่องที่เป็นปัญหาสำหรับคนส่วนใหญ่และเป็นหนึ่งในหัวข้อสนทนาในกลุ่มสาวๆ ยุคปัจจุบันนี้ ก็คือเรื่องขนนั่นเอง โดยเจ้าขนนี้ เป็นอวัยวะที่มีประโยชน์ต่อร่างกายของเรา แต่หากมีมากจนเกินไป ก็อาจก่อให้เกิดปัญหาได้ ทั้งในเรื่องของความสะอาด กลิ่นตัวที่ไม่พึงประสงค์ รวมถึงความมั่นใจในการสวมใส่เสื้อผ้าของหนุ่มๆ และสาวๆ ซึ่งในบทความนี้เราจะพูดถึงวิธีการกำจัดขนกัน เพื่อให้เราเข้าใจและเลือกวิธีการกำจัดขนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด

การกำจัดขนที่ไม่พึงประสงค์ มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ โดยจากข้อมูลทางประวัติศาสตร์ของไทย ซึ่งผู้หญิงในอยุธยา กว่า 100 ปีที่ผ่านมา มีการใช้แหนบในการถอนขนบริเวณรักแร้ ซึ่งยังมีการใช้วิธีการนี้อยู่เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ดังปรากฏหลักฐานอยู่ในกาพย์ห่อโคลงนิราศธารโศก ซึ่งประพันธ์โดยเจ้าฟ้าธรรมมาธิเบศร แห่งราชวงศ์บ้านพูหลวง ความว่า

 

ไรน้อยรอยแหนบทึ้ง…..ถอนแถว

เป็นระเบียบตามแนว…..รอบเกล้า

ริมเผ้าเพราพริ้งแวว…..แลเลิศ

ผมมวยรวยปีกเจ้า…..เรียบร้อยไรงาม

 

ต่อมาเมื่อความก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเริ่มเข้ามามีส่วนในด้านต่างๆ ของเรามากขึ้น จึงได้เกิดวิธีการต่างๆ เพื่อใช้ในการกำจัดขนมาจนถึงปัจจุบัน โดยเราสามารถแบ่งการกำจัดขนได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ

  • Depilation : เป็นการกำจัดขนเพียงบริเวณพื้นผิว โดยไม่ทำลายโครงสร้างของขนใต้ผิวหนังเลย เช่น การแว๊กซ์ การโกน รวมถึงการใช้ครีมกำจัดขน ซึ่งเป็นการกำจัดขนได้เพียงระยะสั้นๆ ไม่เกิน 2-3 สัปดาห์ เท่านั้น นอกจากเป็นวิธีการที่เจ็บแล้ว ยังส่งผลข้างเคียง ทั้งทำให้เกิดผิวหนังไก่ รอยแผล รอยดำ ต่างๆ ได้อีกด้วย

 

  • Epilation : เป็นการกำจัดขนที่สามารถทำลายได้ลึกถึงโครงสร้างของเส้นขนภายใต้ชั้นผิวหนัง เช่น การใช้ LASER , IPL หรืออุปกรณ์ Electroepilation ที่ให้ผลการรักษาได้ในระยะเวลายาวนานหลายสัปดาห์ ซึ่งวิธีที่ได้รับความนิยมมากที่สุด คือการกำจัดขนด้วย LASER  แต่ควรเลือกสรรให้เหมาะสมกับตัวเองเนื่องจากหากเลือกใช้เลเซอร์ที่ไม่เหมาะสมอาจทำให้เกิดผลเสียตามมาได้ เช่น ผิวเกิดการเบิร์น แสบผิว หรือนอกจากขนจะไม่หลุดล่วงไปแล้วยังอาจทำให้ขนเกิดมากขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย

การใช้เทคโนโลยี LASER เพื่อการกำจัดขนนั้น สามารถกำจัดขนได้ในระยะ Anagen phase เท่านั้น และขนในแต่ละบริเวณก็มีวงจรชีวิตที่แตกต่างกันออกไป สำหรับเลเซอร์ที่ได้รับการออกแบบเพื่อการกำจัดขนโดยตรง มีด้วยกันหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็น Ruby Laser (694 nm) , Alexandrite Laser (755 nm) , Nd : YAG Laser (1064 nm) และ Diode Laser (800-810 nm, 940 nm, 1064-1350 nm)  โดยทุกชนิดมีหลักการทำงานด้วยการส่งพลังงานเลเซอร์ลงสู่รากขนอย่างช้าๆ (รูปแบบ Long pulse (ms)) ซึ่งเซลล์เม็ดสีเมลานินในเส้นขนจะทำหน้าที่เป็นโครโมฟอร์ที่ดูดซับพลังงานเลเซอร์ไว้ จากนั้นจะเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อนและถ่ายเทสู่เซลล์ต้นกำเนิดขน ทำให้เนื้อเยื่อต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างขน รวมถึงเส้นเลือดที่มาหล่อเลี้ยงเส้นขนไม่สามารถผลิต Stemcell  ต้นกำเนิดของเส้นขนได้ ส่งผลให้วงจรการเกิดใหม่ของเส้นขนมีความช้าลง บางลง จนหมดไปในที่สุดหากทำการเลเซอร์ติดต่อกันซ้ำๆ อย่างต่อเนื่อง

 

สำหรับเลเซอร์เพื่อการกำจัดขนในประเทศไทยที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน คือ Long pulse Nd: YAG และ Diode Laser เนื่องจากสามารถตอบโจทย์การรักษาได้ดีที่สุด จึงทำให้หลายๆ คนเกิดข้อสงสัยว่าระหว่าง YAG และ Diode Laser แตกต่างกันอย่างไร แบบไหนดีกว่ากัน และผิวของคนไทยอย่างเรา เหมาะกับ Laser ชนิดใดกันแน่

 

 

Long pulse Nd : YAG Laser

Long pulse Nd : YAG หรือที่คนทั่วไปรู้จักในชื่อ “YAG Laser” เป็นเลเซอร์ที่มีความยาวคลื่น 1064 nm.

 

ข้อดี

  • มีความจำเพาะเจาะจงต่อเมลานินสูง
  • พลังงานสามารถลงได้ลึกสูงสุด 7
  • แก้ไขปัญหาขนคุดได้
  • สามารถทำในบริเวณพื้นที่เล็กๆ ได้
  • ปลอดภัยสำหรับทุกสีผิว Skin Type I-VI

ข้อจำกัด

  • ให้ความรู้สึกเจ็บขณะทำการรักษา
  • มีข้อจำกัดในการกำจัดขนเส้นที่บางมากๆ
  • ต้องใช้พลังงานค่อนข้างสูง อาจทำให้เสี่ยงเบิร์นได้

 

Diode Laser

Diode Laser เป็นเทคโนโลยีน้องใหม่ที่มีประสิทธิภาพในการกำจัดขน โดยมีความยาวคลื่นที่แตกต่างกันออกไป เช่น 800 – 810 nm , 940 nm , 1064 -1350 nm

 

ข้อดี

  • มีความจำเพาะเจาะจงต่อเมลานินสูงมาก
  • สามารถให้ผลการรักษาที่มีประสิทธิภาพ แม้ใช้พลังงานต่ำ
  • รักษาได้อย่างรวดเร็ว
  • ปลอดภัยต่อผิว มีความเสี่ยงน้อย
  • มี Cooling สำหรับผิวด้านบน ทำให้รู้สึกสบายขณะทำการรักษา
  • เหมาะสำหรับผู้มีผิว Skin type I-V

ข้อจำกัด 

  • ยังมีผลการวิจัยค่อนข้างน้อย
  • มีข้อจำกัดในบริเวณพื้นที่เล็กๆ ที่เข้าถึงยาก

 

นวัตกรรมเพื่อการกำจัดขนแต่ละประเภทนั้น ต่างมีข้อดี และข้อจำกัดที่ต่างกันออกไป ดังนั้นเราจึงไม่อาจตัดสินได้อย่างแน่ชัดว่านวัตกรรมใดจะดีที่สุด เนื่องจากต้องพิจารณาถึงปัจจัยหลายอย่างประกอบกัน ไม่ว่าจะเป็นสีผิว สีของเส้นขน บริเวณที่ทำการรักษา ระยะวงจรชีวิตของขน นอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับความชอบส่วนบุคคลรวมถึงประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของผู้ทำการรักษาด้วย ดังนั้นการศึกษาข้อมูลต่างๆ ก่อนเข้ารับการรักษาจะช่วยให้เราเลือกนวัตกรรมในการกำจัดขนที่เหมาะสมกับเรา และทำให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพที่สุด

ทำการตลาดคลินิกกำจัดขน

ทำการตลาดทรีทเมนท์กำจัดขนถาวรในคลินิกเสริมความงามอย่างไร? ให้เหนือกว่าแบบ Home user

ทำการตลาดคลินิกกำจัดขน

ทำการตลาดทรีทเมนท์กำจัดขนถาวรในคลินิกเสริมความงามอย่างไร? ให้เหนือกว่าการกำจัดขนเองที่บ้าน

การกำจัดขนยังคงเป็นอีกหนึ่งความต้องการในตลาดความงามทั่วโลกของทุกเพศ ที่ต้องการมีผิวใสไร้เส้นขน โดยมูลค่าของตลาดเลเซอร์กำจัดขนทั่วโลก มีมูลค่า 587 ล้าน และคาดว่าจะเติบโตในอัตรา ร้อยละ 15% นับจากนี้ ไปจนถึงปี 2569 โดยที่ผ่านมาตลาดความงาม ได้พยายามสนองความต้องการของผู้บริโภค โดยมอบความสะดวกสบายให้แก่ผู้บริโภคโดยไม่ต้องไปเข้ารับบริการจากคลินิกเสริมความงาม ก็สามารถมีผิวสวย เนียน ใส ได้ ทั้งในรูปแบบของครีมกำจัดขน เครื่องกำจัดขนแบบ Home User โดยใช้ลำแสงที่มีเข้มข้นสูง อย่าง IPL (ย่อมาจาก Intense Pulsed Light) ที่ราคาต่ำแต่ความแม่นยำและผลลัพธ์นั้น ไม่สามารถเทียบได้กับอุปกรณ์ทางการแพทย์อย่างเครื่องเลเซอร์ ที่ได้รับการรองรับจากงานวิจัยทางการแพทย์ แล้วถึงประสิทธิภาพ ที่ช่วยกำจัดเส้นขนอย่างถาวร โดยไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียง

ซึ่งนับเป็นเรื่องยากที่คลินิกความงามในตลาดของประเทศไทย จะต่อสู้กับตลาดของการกำจัดเส้นขน ในยุค 2021 นี้


สิ่งสำคัญที่จะสามารถชิงส่วนแบ่งทางการตลาดกลับคืนมาจากผลิตภัณฑ์เหล่านี้ คือการทำให้คนไข้ เข้าใจถึงหลักการของการทำงานของลำแสงเลเซอร์ ที่มีนาโนเมตรเหมาะสมกับการกำจัดขน ที่สามารถลงลึกได้ถึงรากขนอย่างแท้จริง ร่วมกับความเข้าใจ ในเรื่องของ วงจรชีวิตของเส้นขน (Hair growth cycle)

เรื่องน่ายินดี คือ คนไข้ส่วนใหญ่ที่ต้องการกำจัดเส้นขนแบบถาวร เลือกที่จะไว้วางใจเครื่องมือแพทย์ หรือเครื่องเลเซอร์กำจัดขน รวมถึงแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ มีเพียง 15% เท่านั้น ที่เสียเงินทดลองเครื่องกำจัดขนแบบ Home user  อีกหนึ่งสิ่ง คือการให้คนไข้นั้นเข้าใจถึง ความคุ้มค่าของการทำทรีทเมนท์กำจัดขนแบบถาวรเมื่อเทียบกับเครื่องมือที่ไม่ใช่เกรดเครื่องมือแพทย์

ทำไมทรีทเมนท์การกำจัดขนถาวรที่ใช้เครื่องมือแพทย์โดยแพทย์ผู้เชียวชาญถึงดีกว่า?

เมื่อพิจจารณาถึงผลลัพธ์ด้านการรักษาแล้ว จะพบว่ามีประสิทธิภาพที่สูงกว่าเครื่องกำจัดขนแบบ Home user ทั้งในด้านของความปลอดภัยกว่า ความสามารถปรับค่าพลังงานได้หลากหลายเพื่อให้เหมาะสมกับทุกสีผิว และผลลัพธ์ที่ยาวนานกว่า อย่างเช่น MeDioStar Monolith ไดโอดเลเซอร์กำจัดขนถาวร จากประเทศเยอรมันนี เนื่องจากใช้เลเซอร์ถึง 2 ช่วงคลื่น ในกลุ่มของเลเซอร์ Diode (810 และ 940 nm) ที่สามารถกำจัดเส้นขน และเส้นเลือดฝอยที่หล่อเลี้ยงรากขนได้ในหนึ่งเดียว


อย่างไรก็ตามอาจไม่ใช่เรื่องง่ายนักที่จะสื่อสารกับคนไข้ให้เข้าใจ ซึ่งอาจจะต้องใช้ระยะเวลาในการสื่อสารผ่านเครื่องมือทางการตลาดในคลินิกของคุณ ในบทสรุปนี้คุณอาจจะต้องใช้ความพยายามอย่างค่อยเป็นค่อยไปกับคนไข้ในอนาคตของคุณ เพื่อให้สามารถเข้าถึงการรักษาที่มีความปลอดภัยสูง ได้มาตรฐานสากล และเปี่ยมด้วยประสิทธิภาพ

จับตามองทิศทางของตลาดการปลูกผม จะเป็นอย่างไรในอนาคต

จับตามองทิศทางของตลาดการปลูกผม จะเป็นอย่างไรในอนาคต?

จับตามองทิศทางของตลาดการปลูกผม จะเป็นอย่างไรในอนาคต

จับตามองทิศทางของตลาดการปลูกผม จะเป็นอย่างไรในอนาคต?

เริ่มต้นปี ด้วยเทรนด์ด้านความงามใหม่ๆ ที่อาจช่วยตอบข้อสงสัยของแพทย์ที่กำลังพิจารณาเพิ่มไลน์ทรีทเมนท์การรักษาในคลินิกของตนเอง ยกตัวอย่างเช่น การปลูกผม ซึ่งแพทย์หลายท่านอาจมีความกังวลในการเริ่มลงทุนว่าจะให้ผลที่คุ้มค่าหรือไม่? วันนี้เรามาหาคำตอบกันค่ะ

 

ซึ่งจากผลการสำรวจของสมาคมศัลยกรรมปลูกผมนานาชาติ (ISHRS) ในช่วงระหว่างปี 2016-2019 จำนวนของผู้ที่มีปัญหาผมร่วงจนถึงจุดที่ต้องการการรักษาทางการแพทย์เพิ่มขึ้นกว่า 13%  และนอกจากนี้จากผลการสำรวจยังเผยว่า ในปี 2019 มีการผ่าตัดเพื่อฟื้นฟูปัญหาเส้นผมโดยผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลกสูงถึง 735,312 ครั้ง ซึ่งมีสถิติสูงขึ้นถึง 16% เมื่อเทียบกับปี 2016 

 

จากปี 2019 ที่ผ่านมามีผู้ป่วยที่มีปัญหาเส้นผมจำนวน 1,401,589 ราย ที่เลือกวิธีการฟื้นฟูเส้นผมด้วยเทคนิค Follicular Unit Extraction (FUE) โดยมีจำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นจากปี 2016 อยู่ที่ประมาณ 13% และเมื่อเทียบสถิติจำนวนผู้ป่วยที่เข้ารับการปลูกผมตั้งแต่ปี 2008- 2019 ระบุว่ามีการเติบโตที่สูงขึ้นถึง 157%  ซึ่งสถิติเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มการเติบโตของเทรนด์การฟื้นฟูเส้นผมจากทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง โดยไม่มีสัญญาณว่าจะชะลอตัวลงในระยะเวลาอันใกล้นี้

 

โดยจากผู้เข้ารับการรักษาจากทั่วโลก โดยแบ่งผู้ป่วยออกเป็นแต่ละทวีป มีสถิติดังนี้

  • ทวีปเอเชีย : 196,630 คน
  • ตะวันออกกลาง : 188,360 คน
  • สหรัฐอเมริกาและแคนาดา : 182,025 คน
  • ยุโรป : 106,949 คน
ประโยชน์ของขน

มารู้จัก ขน อวัยวะใกล้ตัวที่มากด้วยประโยชน์

ประโยชน์ของขน

มารู้จัก "ขน" อวัยวะใกล้ตัวที่มากด้วยประโยชน์

นอกจากความเข้าใจในเรื่องโครงสร้างผิวหนัง และหน้าที่ของผิวหนัง เพื่อการดูแลตัวเองได้อย่างตรงจุดแล้ว อีกหนึ่งเรื่องที่น่าสนใจซึ่งมักถูกมองข้ามไปนั้น คือ.. เรื่องของ “ขน” ซึ่งตามจริงแล้ว เจ้าขนเส้นเล็กๆ นั้น เป็นอวัยวะที่อยู่คู่กับเราทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย อยู่ทั่วร่างกายตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ยกเว้นบริเวณฝ่ามือ และฝ่าเท้าเท่านั้นเอง รวมๆ แล้ว มีจำนวนกว่าหลายล้านเส้น ซึ่งแม้ว่า “ขน” เหล่านี้ อาจไม่ได้มีหน้าที่สำคัญเกี่ยวกับการดำรงชีวิตของเรา แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเจ้าขนเหล่านี้มีความสำคัญต่อจิตใจของเราไม่มากก็น้อย ทั้งการเพิ่มความมั่นใจ เพิ่มความความสวยความงาม และสามารถจำแนกเชื้อชาติของคนได้ในระดับหนึ่งอีกด้วย 

นิยามของคำว่า "ขน"

ขน” หรือ Hair เป็นหนึ่งในอวัยวะของร่างกายที่มีความซับซ้อน และมีชื่อเรียกแตกต่างกันออกไปตามบริเวณของร่างกาย เช่น ผม คิ้ว หนวด เครา ทั้งหมดล้วนแต่เป็นขนทั้งสิ้น เส้นขนโดยทั่วไปมีองค์ประกอบหลักเป็นเส้นใยโปรตีน ที่เรียกว่า เคราติน หน้าที่หลักเพื่อปกคลุมร่างกาย ปกป้องผิวจากอันตรายต่างๆ รักษาอุณหภูมิ และเป็นอวัยวะรับความรู้สึกอย่างหนึ่งในร่างกายด้วย

 

เราสามารถจำแนกประเภทของเส้นขนได้อย่างกว้างๆ เป็น 3 ประเภท คือ

  • ขนอ่อน (Lanugo Hair) เป็นขนชุดแรกของเราตั้งแต่เป็นทารกในช่วงอายุครรภ์ 16- 20 สัปดาห์ มีลักษณะเป็นเส้นบาง อ่อนนุ่ม และสีอ่อนมาก ขนชุดนี้มักหลุดออกจากร่างกายตั้งแต่ก่อนคลอด หรือหลังคลอดไม่เกิน 2-3 สัปดาห์
  • ขนเวลลัส (Vellus Hair) เป็นขนที่มีความยาวไม่เกิน 2 เซนติเมตร เส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 30 ไมครอน มีลักษณะสั้น บาง และสีอ่อน มักพบตามใบหน้า และลำตัว มีหน้าที่ในรักษาอุณหภูมิของร่างกายให้คงที่
  • ขนเทอร์มินัล (Terminal Hair) เป็นขนสีเข้ม เส้นใหญ่ ค่อนข้างหนาและหยาบ มีความยาวมากกว่า 1 เซนติเมตร ซึ่งได้แก่ เส้นผม ขนคิ้ว หนวด เครา ไปจนถึงขนบริเวณใต้วงแขน และจุดซ่อนเร้น

ความสำคัญของ "ขน" แต่ละประเภท

เราทุกคนคงทราบกันดีอยู่แล้วว่า เกือบทั่วทุกส่วนของร่างกายจะถูกปกคลุมไปด้วย “ขน” ซึ่งขนแต่ละบริเวณก็มีความสำคัญแตกต่างกันออกไปดังนี้ค่ะ

 

เส้นผม

เป็นขนชนิดหนึ่งที่ขึ้นปกคลุมหนังศีรษะ มีประมาณ 1 แสนเส้น มีการหลุดร่วงเป็นปกติ ในทุกๆ วัน วันละ 10-100 เส้น หน้าที่หลักของเส้นผม เพื่อปกป้องหนังศีรษะจนถึงช่วงท้ายทอยของเราไม่ให้ได้รับความร้อน และแสงแดดมากจนเกินไป ทั้งช่วยปกป้องอวัยวะสำคัญบริเวณศีรษะ หรือ สมอง จากการกระทบกระเทือนหรือแรงกระแทก ป้องกันฝุ่นละออง และอันตรายต่างๆ รวมถึงเหงื่อไม่ให้เข้าสู่ใบหน้ามากจนเกินไป นอกจากนี้ยังมีผลต่อบุคลิกภาพของเราทุกคนไม่มากก็น้อยอีกด้วย 

 

คิ้ว

เรามักได้ยินคำกล่าวที่ว่า “คิ้ว” คือ มงกุฎของใบหน้า คิ้วเป็นหนึ่งในชนิดเส้นขนที่ค่อนข้างสำคัญในการเสริมความมั่นใจด้านความสวยงามของทั้งชายและหญิง ซึ่งเราคงคุ้นชินกันเรื่องยาปลูกคิ้ว สำหรับผู้มีปัญหาคิ้วน้อย สำหรับหน้าที่ของคิ้ว คือ การปกป้องสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ดวงตาเนื่องจากเป็นบริเวณที่ไวต่อการรับสัมผัสมาก และเรายังสามารถแสดงอารมณ์ความรู้สึกผ่านทางคิ้วได้อีกด้วย

 

ขนตา

ขนตามีหน้าที่ในการป้องกันฝุ่นละออง และสิ่งแปลกปลอมต่างๆ ไม่ให้เข้าสู่ดวงตาเช่นเดียวกับคิ้ว ขนตามีความบอบบาง หลุดร่วงได้ง่าย และสามารถช่วยลดการระเหยของน้ำตา เพื่อเป็นการรักษาความชุ่มชื้นให้ดวงตาได้อีกระดับหนึ่ง ทั้งยังเสริมความคมชัดให้กับดวงตาเวลาที่เราแต่งหน้า 

 

ขนจมูก

จมูก เป็นอวัยวะที่เราใช้หายใจ ดังนั้นขนจมูกของเราจึงนับว่ามีความสำคัญมาก มีหน้าที่ในการกรองฝุ่นละออง เชื้อโรคและสิ่งสกปรก ไม่ให้เข้าสู่ปอดของเรา หากไม่มีเจ้าขนจมูกนี้ ร่างกายอาจได้รับเชื้อโรคต่างๆ โดยตรง ทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อและผลเสียต่อสุขภาพ

 

ขนรักแร้

เป็นขนที่หลายๆ คน ต้องการกำจัดออก ตามจริงแล้ว ขนรักแร้มีประโยชน์กับเรา โดยช่วยลดการเสียดสีกับผิวหนังบริเวณนั้น ช่วยลดเหงื่อ และป้องกันเชื้อโรคต่างๆ ไม่ให้ติดกับผิว และเป็นตัวช่วยกระจายตัวของฟีโรโมน (สารเคมีประเภทหนึ่งในการดึงดูดเพศตรงข้าม) แต่หากเราขาดการดูแลความสะอาด อาจทำให้กลายเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรค เป็นที่มาของกลิ่นตัวที่ไม่พึงประสงค์ และอาจเกิดเป็นเชื้อราได้อีกด้วย

 

ขนในจุดซ่อนเร้น

เป็นขนที่ค่อนข้างมีความสำคัญมากๆ ต่อทั้งผู้หญิง และผู้ชาย มีหน้าที่หลากหลาย ทั้งช่วยป้องกันกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ การป้องกันเชื้อโรค แบคทีเรียต่างๆ ไม่ให้เข้าสู่ภายในช่องคลอด รวมทั้งช่วยลดการเสียดสีขณะมีเพศสัมพันธ์และการเสียดสีกับกางเกงชั้นในด้วย นอกจากนี้เส้นขนในบริเวณจุดซ่อนเร้นของผู้ชายนั้น ช่วยในการรักษาอุณหภูมิทำให้สเปิร์มสามารถมีชีวิตอยู่ได้อีกด้วย

 

ขนบริเวณร่างกาย

หน้าที่สำคัญคือช่วยรักษาอุณหภูมิของร่างกายให้คงที่ และป้องกันไม่ใช้ปรสิตตัวน้อยๆ ไม่ให้กัดผิวหนังและนำเชื้อโรคต่างๆ เข้าสู่ร่างกาย

จะเห็นได้ว่า ความจริงแล้ว เจ้าขนเส้นเล็กๆ เหล่านั้น ล้วนมีประโยชน์กับเรา ขนในบางบริเวณอาจต้องการการดูแลรักษาความสะอาดที่มากขึ้น เพื่อป้องกันการสะสมของเหงื่อ ไคล และแบคทีเรีย จนอาจส่งผลร้ายตามมา ความหนาหรือบางของขน ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆ อย่าง ทั้งเพศ เชื้อชาติ พันธุกรรม ซึ่งหากใครที่กังวลในเรื่องของความสวยความงาม ต้องการที่จะกำจัดขนส่วนเกินออกไป  ก็ล้วนแล้วแต่วิจารณญาณส่วนบุคคลนะคะ แต่ก่อนที่เราจะเลือกเทคโนโลยีหรือวิธีการต่างๆ ในการกำจัดขนที่ไม่พึงประสงค์ออกไปจากร่างกาย เรามาทำความรู้จักให้ลึกลงไปถึงโครงสร้างและวงจรชีวิตของขนกันค่ะ

โครงสร้างของขน

โครงสร้างของขน

   เส้นขนแบ่งหลักๆ ได้ 2 ส่วน คือส่วนที่อยู่ใต้ชั้นผิวหนังลงไป ซึ่งเราเรียกรวมว่า รากขน (Hair root) และส่วนที่พ้นผิวหนังออกมาสู่ภายนอก เรียก เส้นขน (Hair Shaft)

 

   ขนเติบโตมาจากรากขน (Hair root) ที่วางตัวอยู่ในลักษณะเฉียง เจริญอยู่ในรูขุมขน (Hair follicle) ที่มีรูปร่างคล้ายหลอด ฝังตัวอยู่บริเวณชั้นหนังกำพร้าลึกลงไปสู่หนังแท้ ที่บริเวณปลายสุดของรากขน มีลักษณะโป่งพองออกเป็นทรงกระเปาะ ที่มีส่วนเว้าเข้าด้านในรูปทรงคล้ายกับคีม เรียกว่า กระเปาะผม (Hair bulb) นอกจากนั้น บริเวณส่วนปลายลึกสุด จะมีส่วนชั้นหนังแท้คล้ายกับนิ้วมือยื่นเข้ามาในโพรงของ hair bulb ซึ่งก็คือ แฮร์พะพิลลา (Hair papillae) เป็นที่อยู่ของ hair matrix ที่มีเส้นประสาทและเลือดมาหล่อเลี้ยง ซึ่งมีความสำคัญต่อการงอกและเติบโตของเส้นขน ทั้งยังเป็นส่วนที่สร้างเคราตินและเม็ดสีในเส้นขน หากแฮร์พะพิลลานี้ตายหรือเสื่อมสภาพไป จะทำให้เส้นขนขาดสารอาหารและหลุดออกไปโดยไม่สามารถเกิดขึ้นใหม่ได้อีก

 

   เส้นขน (Hair Shaft) เป็นส่วนที่โผล่พ้นออกมาเหนือผิวหนัง มีโปรตีนที่เรียกว่าเคราติน มากกว่า 95% เป็นองค์ประกอบหลัก โดยเคราติน ประกอบไปด้วยกรดอะมิโนและแร่ธาตุต่างๆ เช่น คาร์บอน ไฮโดรเจน ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และซัลเฟอร์ โดยเส้นขนนั้นมีหน้าที่สำคัญในการปกป้องผิวจากมลภาวะต่างๆ ที่อาจกระทบ รวมทั้งช่วยในการรักษาอุณหภูมิร่างกาย

 

หากเรามองภาพตัดขวางของเส้นขนจะแบ่งได้ออกเป็น 3 ชั้น ดังนี้

  1. เกล็ดผม (Cuticle) เป็นชั้นนอกสุด มีลักษณะโปร่งแสง ประกอบด้วยเคราติน มีลักษณะเป็นชั้นคล้ายเกล็ดปลาเรียงซ้อนกัน 5- 10 เกล็ด มีความหนาประมาณ 0.5-1.0 ไมครอน ทำหน้าที่ป้องกันสิ่งสกปรกไม่ให้ซึมผ่านเข้าไปทำลายโครงสร้างภายในของเส้นขน รวมทั้งลดการสูญเสียความชุ่มชื้นภายในเส้นขนอีกด้วย
  2. เนื้อผม (Cortex) เป็นชั้นที่มีความสำคัญมากที่สุด และหนาที่สุด ประกอบด้วยเซลล์รูปกระสวยที่มีเส้นใยโปรตีนเรียงอัดแน่นตามแนวยาว มีความหนาประมาณ 50-100 ไมครอน ซึ่งเส้นใยโปรตีนนี้จะช่วยสร้างความยืดหยุ่นให้กับเส้นขน และยังเป็นมีเมลาโนไซต์ซึ่งเป็นตัวสร้างเม็ดสีซึ่งเป็นตัวกำหนดสีขนที่แตกต่างกันตามธรรมชาติของแต่ละบุคคล
  3. แกนผม (Medulla) เป็นส่วนของแกนเส้นขนที่อยู่ชั้นในสุด เกิดจากโปรตีนและไขมัน มักพบในผมที่มีสภาพสมบูรณ์แข็งแรง

วงจรของเส้นขน

เมื่อเรารู้ถึงโครงสร้าง หน้าที่การทำงาน และประโยชน์ของเจ้าขนเส้นน้อยๆ ไปแล้ว ส่วนสุดท้ายที่จะขาดไปไม่ได้และสำคัญไม่แพ้เรื่องอื่นๆ คือ เรื่องวงจรชีวิตของขน ตั้งแต่การเติบโตจนหลุดร่วงออกไป โดยขนแต่ละบริเวณจะมีช่วงเวลาชีวิตที่แตกต่างกันออกไป แต่โดยหลักแล้ว จะแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ดังนี้

 

  1. ระยะเติบโต (Anagen Phase) เป็นช่วงที่เส้นขนมีการเจริญเติบโต มีการแบ่งเซลล์ และได้รับสารอาหารต่างๆจากเส้นเลือดที่มาหล่อเลี้ยง  โดยเส้นขนต่างๆ ในร่างกาย กว่า 85% มักอยู่ในระยะนี้ มีอายุได้นานประมาณ 3 ปี หากไม่มีปัจจัยภายนอกมากระทบ
  2. ระยะหยุดเจริญเติบโต (Catagen Phase) เป็นระยะที่เส้นขนหยุดการเจริญเติบโต เส้นขนหลุดออกจากเส้นเลือดทำให้ไม่ได้รับสารอาหารต่างๆ มาหล่อเลี้ยง และเริ่มเข้าสู่ระยะหลุดร่วง โดยระยะนี้จะมีระยะเวลาสั้นๆ ประมาณ 2 สัปดาห์เท่านั้น
  3. ระยะหลุดร่วง (Telogen) เป็นระยะสุดท้ายที่เส้นขนกำลังหลุดร่วงออกจากโคนขน มีระยะเวลาเฉลี่ย 1-3 เดือนและมีขนเส้นใหม่ขึ้นมาแทนที่ เป็นการกลับเข้าสู่ระยะ Anagen Phase อีกครั้ง

เมื่อได้รู้ถึงวรจรของเส้นขนเหล่านี้แล้ว จะเห็นได้ว่า เมื่อมีการหลุดออก ก็มีการเกิดขึ้นใหม่ได้เป็นปกตินะคะ ส่วนอีกหนึ่งข้อที่ควรรู้คือ หากใครกำลังมองหาเทคโนโลยีในการกำจัดขนส่วนเกินออกจากร่างกาย ไม่ว่าจะเป็น การแวกซ์ การใช้ IPL หรือเลเซอร์ จะสามารถกำจัดเส้นขนได้เฉพาะระยะ Anagen เท่านั้น และผลการรักษาที่ได้ในเรื่องของระยะเวลาที่ขนหายไป อาจแตกต่างกันออกไปในแต่ละเทคโนโลยีและบริเวณของเส้นขนที่เลือกกำจัดออก

Skin Resurfacing

ความแตกต่างของ Skin Resurfacing ด้วยเทคโนโลยี Fractional RF vs RF Microneedling

Skin Resurfacing

ไขข้อสงสัย? การทำ Skin Resurfacing ด้วยเทคโนโลยี Fractional RF และ RF Microneedling เหมือนหรือต่างกันอย่างไร?

อีกหนึ่งกระแสความงามที่มาแรงอย่างต่อเนื่องสำหรับคนหนุ่มสาวจากทั่วโลก คือการหานวัตกรรมหรือทรีทเมนต์ที่ตอบโจทย์การฟื้นฟูผิว โดยจากการสำรวจของ American Society for Dermatologic Surgery (ASDS) เผยว่า ผู้คนกว่า 70% ทั่วโลก มีความกังวลใจในเรื่องของการมีสีผิวไม่สม่ำเสมอหรือผิวที่ไม่เรียบเนียนกระจ่างใส และพยายามมองหาวิธีการต่างๆ เพื่อแก้ปัญหาผิวเหล่านั้น ซึ่งนวัตกรรมที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการดังกล่าวได้ คือ นวัตกรรมเพื่อการผลัดผิว หรือ การทำ Skin Resurfacing นั่นเอง

 

โดยนวัตกรรมนี้จะเน้นให้ผลในการแก้ปัญหาต่างๆ ได้อย่างครอบคลุม ไม่ว่าจะเป็น รูขุมขนที่กว้าง ริ้วรอยต่างๆ ปัญหารอยแตกลาย หลุมสิวหรือแผลเป็นต่างๆ เพื่อให้ผิวที่ไม่เรียบเนียนกลับมามีผลลัพธ์ที่ดีได้อย่างน่าอัศจรรย์ จนทำให้ตลาดความงามด้านการทำ Skin Resurfacing นี้ยังคงเติบโตเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งหากพูดถึงการทำ Skin Resurfacing ในปัจจุบัน ก็มีทางเลือกมากมายที่ต่างพัฒนามาเพื่อให้ผู้เข้ารับการรักษาได้รับความสะดวกสบายยิ่งขึ้น ร่วมกับระยะพักฟื้นที่สั้นลง ซึ่งเทรนด์ที่สามรถดึงดูดความสนใจของผู้คนอย่างล้นหลามในช่วงเวลานี้ มีด้วยกันหลักๆ 2 นวัตกรรม คือ Fractional RF Resurfacing และ RF Microneedling ที่มองเผินๆ หลายคนอาจเข้าใจว่าทั้งสองนวัตกรรมนี้คือสิ่งเดียวกัน แต่ในความเป็นจริงแล้วจะเป็นอย่างไร เรามาหาคำตอบกันในบทความนี้นะคะ

Skin Resurfacing

ก่อนอื่นเรามาเริ่มทำความรู้จักกันก่อนว่า Skin Resurfacing คืออะไร?

Skin Resurfacing หรือที่หลายๆ คนรู้จักกันในชื่อ “การผลัดผิว” เป็นคำศัพท์ทั่วไปทางด้านการรักษาที่สื่อถึงการทำให้ผิวเกิดความเสียหายด้วยวิธีการต่างๆ ที่เราสามารถควบคุมได้ โดยความเสียหายที่เกิดขึ้นกับผิวนั้น จะกระตุ้นให้ร่างกายเกิดกระบวนการบำบัดตามธรรมชาติเพื่อซ่อมแซมส่วนเหล่านั้น และฟื้นฟูปัญหาผิวที่มีอยู่ให้เหลือน้อยที่สุด

 

การทำ Skin Resurfacing มักจะก่อให้เกิดปฏิกิริยา 2 ประเภทที่ผิวหนังของเรา คือ Ablation และ Coagulation ซึ่งขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีที่เราใช้ โดยอาจเกิดทั้งสองปฏิกิริยา หรือเกิดเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง การเกิด Ablation เป็นการส่งพลังงานความร้อนที่มากกว่า 100 องศาเซลเซียสลงสู่ชั้นผิวอย่างรวดเร็ว เพื่อให้ผิวชั้นบน (superficial layer) เกิดการระเหิดไปในทันที โดยกระบวนการซ่อมแซมจะใช้เวลาพอสมควร ขึ้นอยู่กับเทคนิคที่ใช้ในการรักษา รวมถึงความเสียหายของเนื้อเยื่อผิว ซึ่งหากเราเลือกการรักษาที่ทำให้ผิวเกิดการ Ablation มาก ระยะเวลาพักฟื้นจะใช้เวลามากตามไปด้วย ทั้งอาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อ หรือเกิดรอยดำหลังการอักเสบ hypopigmentation (PIH) ตามมาได้ ยกตัวอย่างเช่น การทำ CO2 lasers และ Plasma lasers

 

อีกหนึ่งปฏิกิริยาที่สามารถเกิดขึ้นจากการทำ Skin Resurfacing คือ Coagulation เป็นการสะสมพลังงานความร้อนสู่ผิวชั้นลึกเพื่อกระตุ้นให้เกิดการสร้างเส้นใยคอลลาเจนและอีลาสติน (neocollagenesis) เพิ่มขึ้น ซึ่งมีเทคโนโลยีมากมายที่ช่วยให้ผิวเกิด Coauglation ได้โดยไม่ทำลายผิวชั้นบน เช่น Fractional Non-Ablative Lasers, RF รวมถึง HIFU   

RF Microneedling VS Fractional RF

RF Microneedling VS Fractional RF

เทคโนโลยี RF Microneedling พัฒนามาจากการทำ Microneedling แบบดั้งเดิม ซึ่งเป็นการใช้เข็มขนาดเล็ก (อาศัยแรงเชิงกล) เจาะเข้าสู่ผิวหนังเพื่อให้เกิดบาดแผลใต้ชั้นผิวในระดับความลึกต่างๆ แผลที่เกิดขึ้นจะกระตุ้นให้ร่างกายเกิดกระบวนการฟื้นฟูผิวตามธรรมชาติ โดยที่ผิวไม่ได้เกิดกระบวนการ Ablation หรือ Coagulation เลย ซึ่งเทคโนโลยีนี้อาจสร้างความเจ็บปวดให้แก่ผู้เข้ารับการรักษา เนื่องจากบาดแผลมีขนาดที่ค่อนข้างใหญ่ รวมทั้งมีระยะการพักฟื้นที่ยาวนานและเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย 

 

ต่อมามีการพัฒนาและเพิ่มพลังงาน RF ร่วมกับการใช้ Microneedles เป็นนวัตกรรมที่เรียกว่า RF Microneedling ในการส่งพลังงานความร้อนให้แก่ชั้นผิวที่ผ่านปลายเข็มนั้นๆ เพื่อกระตุ้นให้ผิวเกิดกระบวนการ coagulation โดยที่ผิวชั้นบนจะไม่ได้ผลในการผลัดผิวเลยแม้แต่น้อย

 

สำหรับเทคโนโลยี Fractional RF เป็นเทคโนโลยีที่อาศัยการทำงานผ่านพินขนาดเล็กที่สัมผัสบริเวณผิวหนังชั้นบน และส่งคลื่นความถี่วิทยุเพื่อให้เกิดการสะสมพลังงานความร้อนใต้ผิวที่ลึกลงไป เพื่อให้เกิดปฏิกิริยา Ablation ที่ผิวชั้นบนเกิดการสร้างเซลล์ผิวใหม่ และเกิด Coagulation ที่ผิวชั้นลึกซึ่งกระตุ้นให้ไฟโบรบลาสต์เกิดการสร้างคอลลาเจนและเส้นใยอีลาสตินเพิ่มขึ้นไปพร้อมๆ กัน  ซึ่งการทำงานร่วมกันของปฏิกิริยาทั้งสองนี้ ทำให้ผิวได้รับการฟื้นฟูอย่างเต็มกระบวนการ เผยผิวใหม่ สุขภาพดี  และผลลัพธ์ที่ยาวนานเมื่อเทียบกับวิธีการอื่นๆ 

 

และในปัจจุบันได้มีการพัฒนานวัตกรรม NanoFractional RF เพื่อผลการรักษาที่ดียิ่งขึ้น ดังเช่น Venus Viva™ MD ซึ่งก่อให้เกิดบาดแผลที่มีขนาดเล็กมาก รวมทั้งสามารถควบคุมพลังงานเพื่อให้เกิดปฏิกิริยา Ablation ร่วมกับ Coagulation ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ผ่านปลายพินขนาดเล็ก (160 x 38 um2) โดยผสานเทคโนโลยี SmartScan™ ที่มีอัลกอริธึมอันแตกต่างในการควบคุมการปล่อยพลังงานได้อย่างสม่ำเสมอในรูปแบบสุ่ม ทำให้เนื้อเยื่อผิวเกิดเป็นแผลสลับกับผิวที่ดี เพื่อช่วยให้ผิวเกิดการฟื้นฟูได้อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่ว่าจะเป็นการลดรอยแผลเป็นจากสิวหรือรอยแผลเป็นอื่นๆ การฟื้นฟูริ้วรอยทั้งร่องลึกและตื้น การปรับสภาพผิวและแก้ไขปัญหาเม็ดสีผิวที่ไม่สม่ำเสมอ โดยมีการพักฟื้นที่สั้นลง แผลหายเร็วขึ้น ลดความเสี่ยงในการเกิดรอยดำหลังการอักเสบ (PIH) และปลอดภัยสำหรับทุกสภาพผิวและทุกโทนสีผิว

 

จากบทความนี้เราจะเห็นได้ว่านวัตกรรมทั้ง 2 นี้ แม้จะเป็นการทำ Skin Resurfacing เหมือนกัน แต่กลับมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ทั้งในเรื่องของหลักการทำงาน ผลลัพธ์ และระยะเวลาพักฟื้น รวมถึงความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นเนื่องจาก RF Microneedling จะเป็นการรักษาที่ให้ผลเฉพาะในผิวชั้นลึกเท่านั้น ซึ่งต่างจาก Fractional RF ที่สามารถฟื้นฟูผิวได้ทั้งชั้นบนและผิวชั้นลึก นอกจากนี้การทำ Skin Resurfacing ยังมีนวัตกรรมอีกมากมายที่แตกต่างออกไป ทั้งการใช้ Laser ชนิดต่างๆ รวมทั้งการใช้สารเคมีเพื่อผลัดเซลล์ผิว โดยนับเป็นทรีทเมนต์ที่เติบโตรวดเร็วที่สุดเป็นอันดับหนึ่งในปี 2017 เลยทีเดียวค

beauty in trend

8 เทรนด์ความงามที่น่าจับตามองในปี 2021

beauty in trend

8 เทรนด์ความงาม ที่น่าจับตามองในปี 2021

ในช่วงเวลาเริ่มต้นปีใหม่ หลาย ๆ คนอาจมีการตั้ง Year Goal ให้กับตัวเอง เพื่อเป็นการเริ่มต้นพัฒนาและปรับปรุงตัวเองให้เป็นคนใหม่ที่ดีขึ้นกว่าเดิม โดยอาจเป็นการสร้าง Mission ต่าง ๆ ทั้งในเรื่องของการพัฒนาตนเอง ด้วยการอัพเดท Skills ใหม่ ๆ เช่น การเรียนออนไลน์, การอ่านหนังสือเพิ่มขึ้น หรือด้านการดูแลตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการเลือกทานอาหาร, การดูแลสุขภาพ, การออกกำลังกาย ไปจนถึงการดูแลรูปร่างและความสวยความงาม นั่นเอง

 

สำหรับบทความนี้ เราได้รวบรวม 8 เทรนด์ความงามจากทั่วโลก ที่เป็นกระแสมาแรงและน่าจับตามองในปี 2021 มาฝากกันค่ะ เรามาอัพเดทไปพร้อม ๆ กันนะคะ

Less is More - Less is More

1. Less is More (ดูดีแบบมินิมอล เจ็บน้อย พักฟื้นน้อย ไม่เน้นผ่าตัด)

“Less is More” ในที่นี้หมายถึง การรักษาที่เน้น “minimally invasive” โดยผู้คนต่างมองหาความสะดวกสบายที่เพิ่มขึ้น เจ็บตัวน้อยลง ใช้ระยะเวลาสั้น รวมถึงการพักฟื้นที่น้อยที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ และให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติที่สุด

Everything Eyes - beauty trend 2021

2. Everything Eyes (เพราะ”ดวงตา” คือ หน้าต่างของ “หัวใจ”)

ด้วยสถานการณ์ในปัจจุบัน ทั้งการระบาดของ Covid-19 และมลภาวะทางอากาศอย่าง PM 2.5 ทำให้เราจำเป็นที่ต้องใส่หน้ากากอนามัยต่อไป โดยบริเวณที่เปิดเผยให้คนอื่นๆ เห็นได้ ก็คือ ส่วนบนของใบหน้าเรา หรือ บริเวณช่วง “ตาและคิ้ว” นั่นเอง นอกจากนี้ จากคำกล่าวสุดคลาสสิคที่ว่า ดวงตา” คือหน้าต่างของ “หัวใจ” ซึ่งถือเป็นส่วนสำคัญสำหรับการสื่อสารของเราเลยทีเดียว  โดยเทรนด์ความงาม สำหรับบริเวณดวงตา ยกตัวอย่างเช่น

  • การทำ Brow lift ด้วย Botox เพื่อดวงตากลมโต แก้ไขปัญหาหางตาตก
  • การทำ Under-eye brightening ด้วยสารเติมเต็มผิว เช่น Fillers
  • การต่อขนตาปลอมและการสักคิ้ว
Tweakment- beauty trend 2021

3. Tweakment เน้น Natural look

Tweakment เป็นเทรนด์ความงามที่ยังคงเป็นกระแสอย่างต่อเนื่อง เกิดจากการผสมคำ 2 คำ คือ Tiny + Treatment ที่สื่อถึง การดูแลความสวยความงามทีละน้อย อย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติที่สุด ซึ่งเทรนด์นี้เริ่มต้นมาจากดาราและ Celebrity จาก Hollywood ที่ยังคงห่วงเรื่องความสวยความงาม และต้องการหลีกเลี่ยงการเปลี่ยนเเปลงที่ชัดเจนจนเกินไปจนอาจถูกจับผิดได้

Combination are King - beauty trend 2021

4. Combination are King

เป็น Concept ของการเลือก Combine นวัตกรรมต่างๆ เข้าด้วยกัน เพื่อเพิ่มผลลัพธ์ให้เหนือขั้นขึ้นกว่าเดิม โดยไม่ได้จำกัดประเภทของเทคโนโลยี ตัวอย่างเช่น

  • การดูแลรูปร่างด้วยการ Reduce Fat ร่วมกับการ Kill Fat
  • การทำ Skin Rejuvenation ร่วมกับการใช้ PRP หรือ Biological product เพื่อกระตุ้นให้ผิวเกิดกระบวนการฟื้นฟูได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • การใช้สารเติมแต่ง เช่น Botox ร่วมกับ Fillers
Zoom Face is Real - beauty trend 2021

5. Zoom Face is Real (เน้นหน้าเรียว กรอบหน้าชัด)

การ Lockdown และ Work From Home ที่เกิดขึ้น ทำให้หลายคนมีเวลามากขึ้น บางคนอาจทำอาหารหรือขนมรับประทานเองมากขึ้น จนอาจทำให้เกิดเหนียงน้อยๆ ซึ่งอาจสร้างความไม่มั่นใจให้กับหลายคนที่ต้องมีการประชุมงานผ่านทาง Zoom หรือ VDO Conference ที่อาจเน้นบริเวณนั้นๆ ให้เห็นได้ชัดเจน ผ่านทางหน้าจอนั่นเอง ดังนั้นอีกหนึ่งเทรนด์ความงามที่กำลังมาแรง คือการหานวัตกรรมเพื่อลดไขมันส่วนเกินบริเวณเหนียงหรือการดูแลบริเวณกรอบหน้าให้ชัดเจนยิ่งขึ้น นอกจากนี้หลายคนยังมุ่งหวังการมีผิวสุขภาพดีอย่างเป็นธรรมชาติ คล้ายการใส่ Filter ในกล้องถ่ายรูปอีกด้วย

Men Treatment to be consider - beauty trend 2021

6. Men Treatment to be consider (ไม่ใช่แค่ผู้หญิงที่อยากดูดี)

ด้วยปัจจุบันนี้โลกของเราหมุนเข้าสู่ยุคใหม่ที่ผู้ชายเริ่มหันมาดูแลตัวเอง ใส่ใจในเรื่องของบุคลิกและการเข้าสังคมมากขึ้น ซึ่งอีกหนึ่งเทรนด์ความงามที่เริ่มก้าวเข้ามามีบทบาทมากขึ้นทั่วโลก คือ ทรีทเมนต์การรักษาเพื่อคุณผู้ชาย ทั้งการดูแลผิวหน้า การกำจัดขน กสนเสริมสร้างกล้ามเนื้อหรือสร้างซิกแพค รวมไปถึงเรื่องของการดูแลปัญหาเส้นผม

Hyper Personalize Beauty - beauty trend 2021

7. Hyper Personalize Beauty (ความสวยเพื่อคุณโดยเฉพาะ)

เราทุกคนต่างต้องการความแตกต่าง เน้นให้ความสำคัญกับคำว่า “พิเศษ” มากขึ้น สำหรับเทรนด์ความงามนี้เป็นเทรนด์ความต้องการเฉพาะบุคคล โดยมองหาความแปลกใหม่และแตกต่าง ทั้งในเรื่องของ “ผลิตภัณฑ์” หรือ “นวัตกรรมเสริมความงาม” ที่สามารถออกแบบและปรับเปลี่ยนอย่างเฉพาะเจาะจงในแต่ละบุคคลได้อย่างเหมาะสม เพื่อให้ผลลัพธ์ที่ดีและพิเศษที่สุด

Inside Out Beauty - beauty trend 2021

8. Inside Out Beauty (ดูดีจากภายใน..ด้วยการทานอาหารดีๆ)

นอกจากอาศัยตัวช่วยต่างๆ จากภายนอกแล้ว การดูแลตัวเองด้วยโภชนาการต่างๆ ก็เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อการเสริมสร้างและปรับปรุงตัวเองจากภายในสู่ภายนอก โดยการเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกาย ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว และการพักผ่อนที่เพียงพอ

 

ทั้งหมดนี้เป็นเทรนด์ความงามที่กำลังมีบทบาทอย่างมาก สำหรับปี 2021 นะคะ โดยหวังว่าข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับหลายคนที่กำลังมองหาแนวทางใหม่ๆ เพื่อเป็น Year Goal ในการดูแลตัวเองให้ดีขึ้น นอกจากนี้การรักษาสุขภาพและการดูแลตัวเองอย่างรัดกุม ยังคงเป็นสิ่งสำคัญที่เรายังต้องดำเนินต่อไป เนื่องจากอุบัติการณ์ของโรคติดต่อที่ยังคงอยู่กับเราในปัจจุบันนะคะ